วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สงครามโลกครั้งที่ 2


สงครามโลกครั้งที่ 2 


สาเหตุของสงคราม 
ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา
ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญาและต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา (ความไม่พอใจของฝ่ายผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อข้อตกลงสันติภาพ โดยเฉพาะสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์)
 

สนธิสัญญาสันติภาพที่ไม่เป็นธรรม ระบุให้ประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย ค่าปฏิกรรมสงครามและเสียดินแดน เช่นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนี ต้องเสียอาณานิคม ต้องคืนแคว้นอัลซาล ลอเรนแก่ฝรั่งเศส โปเซนและปรัสเซียตะวันตกให้โปแลนด์ มอรสเนท ยูเพนและมัลเมดีให้เบลเยี่ยม ชเลสวิคและโฮลสไตน์ให้เดนมาร์ก แคว้นซูเดเตนให้เชคโกสโลวาเกีย และ เมเมลให้ลิทัวเนีย จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ปีละ 5 พันล้านดอลลาร์ ถูกจำกัดกำลังทหารมีทหารได้ไม่เกิน 100,000 คน ห้ามเกณฑ์ทหารเป็นต้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขี้น ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ปลุกระดมต่อต้านการเสียค่าปฏิกรรมสงคราม และนำความอดยาก ยากจนมาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง สนธิสัญญาแวร์ซายส์ (Versailles Treaty) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 ซึ่งนับเป็นวันยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ระบุให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ถูกลดกำลังทหารและอาวุธ ถูกยึดดินแดนอาณานิคม ทำให้เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำ ประชาชนตกงาน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงทั่วประเทศ ชาวเยอรมันโกรธแค้นมาก ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในช่วงนี้ สร้างกระแสชาตินิยม ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และพัฒนาอุตสาหกรรมและการทหาร จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)
 
เงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายส์
 เยอรมนีต้องรับผลจากการสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างรุนแรง ดังต่อไปนี้
1.        เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนของตนคือ อัลซาสลอเรนให้แก่ฝรั่งเศส ต้องยอมยกดินแดนภาคตะวันออกให้โปแลนด์ไปหลายแห่ง
2.        ต้องยอมให้สันนิบาตชาติเข้าดูแลแคว้นซาร์เป็นเวลา 10 ปี
3.        เกิดฉนวนโปแลนด์ POLISH CORRIDOR ผ่านดินแดนภาคตะวันออกของเยอรมนีเพื่อให้โปแลนด์มีทางออกไปสู่ทะเลบอลติกที่เมืองดานซิก ซึ่งเยอรมนีถูกบังคับให้ยกดินแดนดังกล่าวให้โปแลนด์ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ยังผลให้ปรัสเซียตะวันออกถูกแยกออกจากส่วนอื่นของเยอรมนี ซึ่งฮิตเล่อร์ถือว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ต่อไป
4.       ต้องสูญเสียอาณานิคมทั้งหมดของตนให้แก่องค์การสันนิบาตชาติดูแลฐานะดินแดนในอาณัติ จนกว่าจะเป็นเอกราช
5.        ต้องยอมจํากัดอาวุธ และทหารประจําการลงอย่างมาก
6.        ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจํานวนมหาศาลให้แก่ประเทศที่ชนะสงคราม
ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ
ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นำไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบการปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน 

ความแตกต่างทางด้านการปกครอง กลุ่มประเทศฟาสซิสต์มีความเข้มแข็งมากขึ้น ได้รวมกันเป็น มหาอำนาจอักษะ (Berlin-Rome-Tokyo Axis ) จุดประสงค์แรก คือเพื่อต่อต้านรัสเซีย ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้ขยายไปสู่การต่อต้านชนชาติยิวและนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
ลัทธิชาตินิยมในช่วงคริสตศตวรรษที่20 ซึ่งได้เกิดขึ้นในหลายๆประเทศรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็น ลักษณะของลัทธิชาตินิยมมีลักษณะย้ำการดําเนินนโยบายของชาติของตน การดำรงไว้ซึ่งบูรณภาพของชาติ การเพิ่มอํานาจของชาติ ขณะเดียวกันเน้นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมของตน มีความพยายามที่จะรักษาและเพิ่มพูนความไพศาล ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของชาติตนไว้ มีการเน้นความสําคัญของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ของตน ว่าเหนือเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์อื่น

ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นคำที่มาจากภาษาละติน "fasces" มีความหมายกว้างๆ ว่าเป็นลัทธิชาตินิยมขวาจัดกับการใช้อำนาจสูงสูด ของผู้นำที่รับผิดชอบแต่ผู้เดียว พรรคฟาสซิสม์ที่รู้จักกันมาก คือ พรรคของมุสโสลินีที่เริ่มต้นการปกครองแบบสาธารณรัฐ ต่อต้านนายทุน เคลื่อนไหวทางศาสนาอย่างแข็งขันมากแล้วเปลี่ยนไป สู่การสนับสนุนระบบตลาดเสรี ระบอบกษัตริย์ และยังรวมถึงศาสนาด้วย อย่างไรก็ตาม ขบวนการณ์ฟาสซิสม์ทั้งหลาย (Oswald Mosley's Black-shirts ในบริเทน Iron Guard ในโรมาเนีย Croix de Feu ในฝรั่งเศส และที่มีแนวทางคล้ายกันในยุโรป) จะมีนโยบายที่ไม่ต่างกัน คือ การคุกคามกับการสร้างลัทธิชาตินิยมอย่างไม่จำกัดขอบเขต ไม่ยอมรับสถาบันประชาธิปไตย และเสรีใดๆ ที่ไม่ยินยอมให้พวกตนใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ถ้าเป็นหนทางที่จะได้มาซึ่งอำนาจ แล้วผู้ปกครองฟาสซิสม์จะไม่สนใจเรื่องการปกครองระบอบใดมากนัก ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นศัตรูสำคัญของลัทธิสังคมนิยม มีลักษณะการเน้นที่บทบาทของผู้นำคนเดียว และมีความสัมพันธ์กับกองทัพอย่างลึกซึ้ง พรรคฟาสซิสม์กับนาซีจะมีแนวนโยบายเหมือนกันมาก และพรรคนาซีนั้นได้ใช้รูปแบบของพรรคฟาสซิสม์ มาพัฒนาให้ผู้นำมีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตามแม้พรรคฟาสซิสม์จะมีนโนบายต่อต้านต่างชาติ แต่ฟาสซิสม์อิตาลีไม่ได้ต่อต้านพวกเซมิติคอย่างจริงจังเหมือนนาซี พรรคฟาสซิสม์อ่อนแอลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายคล้ายคลึง คือพรรคสังคมอิตาเลียน (Italian Social Movement) กับพรรคแนวหน้ารักชาติในอังกฤษกับฝรั่งเศส (National Front in Britain and France)

เนื่องจากความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และเยอรมนีพัฒนาตนเองจนแข็งแกร่งเป็นอาณาจักรเยอรมนีที่ 3 และมีนโยบายบุกรุกดินแดน (นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการ ฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น)
ลัทธินิยมทางทหาร
ได้แก่ การสะสมอาวุธเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้เกิดความเครียดระหว่างประเทศมากขึ้น และเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ
การใช้นโยบายออมชอมของอังกฤษเมื่อเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่น การเพิ่มกำลังทหารและการรุกรานดินแดนต่างๆ ทำให้เยอรมนีและพันธมิตรได้ใจและรุกรานมากขึ้น
ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ 
เนื่องจากไม่มีกองทัพขององค์การ ทำให้ขาดอำนาจในการปฏิบัติการและอเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิกจึงทำให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้สงคราม (ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในการเป็นองค์กรกลางเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ) และความอ่อนแอของ องค์การสันนิบาตชาติ ที่ไม่สามารถบังคับประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ปฏิบัติตามสัตยาบันได้
บทบาทของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐปิดประเทศโดดเดี่ยว สมัยประธานาธิบดีมอนโร ตามแนวคิดในวาทะมอนโร สหรัฐจะไม่แทรกแซงกิจการประเทศอื่นและไม่ยอมให้ประเทศอื่นมาแทรกแซงกิจการของตนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ประชาชนจึงเลือกพรรคเดโมแครต(Democratic Party)เข้ามาเป็นรัฐบาลปกครองประเทศโดยประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รุสเวลท์ ได้รับเลือกต่อกันถึงสี่สมัย ( ค.ศ.1933 – 1945 )
สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ในช่วงทศวรรษ 1920 – 1930 โดยเฉพาะช่วง ในปี ค.ศ.1929-1931 ( ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 )
วิกฤตการณ์สำคัญก่อนสงคราม
1.        เยอรมนียกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ. 1936 และสนธิสัญญาโลคาร์โดยการเข้าครอบครองแคว้นไรน์ และ การเพิ่มกำลังอาวุธของเยอรมัน
2.        สงครามอิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ค.ศ. 1936 (พิพาทระหว่างอิตาลีกับอังกฤษ ในกรณีที่อิตาลีบุกเอธิโอเปีย)
3.        สงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936 – 1939
4.       เยอรมนีรวมออสเตรีย ค.ศ. 1938
5.        เยอรมนีรวมเชคโกสโลวาเกีย ค.ศ. 1938
6.        อิตาลียึดครองแอลเบเนีย ค.ศ. 1939
7.        ปัญหาฉนวนโปแลนด์ ค.ศ. 1939
8.        การขยายอำนาจของญี่ปุ่นในเอเชีย ค.ศ. 1931 – 1939 (ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย แล้วตั้งเป็นรัฐแมนจูกัว เพื่อเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งทำทุนใหม่สำหรับตลาดการค้าของญี่ปุ่น)

Click the image to open in full size.
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงในปี 1918 ด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรในขณะนั้นประกอบด้วย อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (the Varsailles treaty) เพื่อจำกัดสิทธิของเยอรมัน ในอันที่จะเป็นภัยคุกคามอีกครั้ง สนธิสัญญาแวร์ซายลงนามในวันที่ 28 มิ.ย. 1919 ส่งผลให้กองทัพเยอรมันถูกจำกัดขนาดให้เล็กลง ดินแดนต่างๆ ถูกริบ หรือยึดครอง ดังที่ปรากฏในแผนที่ข้างบน อาทิ ฝรั่งเศสเข้าครอบครองอัลซาส ลอเรนน์ (Alsace-Lorranine) เบลเยี่ยมยึดอูเปนและมาลเมดี (Eupen, Malmedy) โปแลนด์เข้าครอง โปเสน (Posen) และปรัสเซียตะวันออกบางส่วน ดานซิก (Danzig) กลายเป็นรัฐอิสระ ฝรั่งเศสเข้าควบคุมเหมืองถ่านหินในแคว้นซาร์ (Saar) แลกกับการที่เยอรมันทำลายเหมืองถ่านหินของตน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไรน์ กลายเป็นเขตปลอดทหาร (Demilitarized) และยึดครองโดยฝ่ายพันธมิตรลึกเข้าไป 30 ไมล์ นอกจากนี้เยอรมันยังต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินอีก 6,600 ล้านปอนด์

 Click the image to open in full size.
ในเดือนมกราคม 1933 อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chancellor ของประเทศเยอรมัน และเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศในที่สุด (Fuhrer) ในปี 1935 ฮิตเลอร์ได้เริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 16 มีนาคม 1935 ฮิตเลอร์ก็ประกาศเสริมสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย แต่เนื่องจากนโยบายต่างประเทศของเขา ที่พยายามแสดงให้พันธมิตรเห็นว่า เขาไม่ใช่ภัยคุกคามต่อพันธมิตร และเป็นผู้ที่ต้องการสันติภาพเช่นเดียวกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพียงแต่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมันที่ตกต่ำเท่านั้น ทำให้พันธมิตรนิ่งเฉยต่อการดำเนนิการของฮิตเลอร์ และแล้วในเดือนมีนาคม 1936 เขาก็ส่งทหารกลับเข้าไปยึดครองแคว้นไรน์ ที่ตามสนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร พร้อมๆกับส่งทหารเยอรมันเข้าสนับสนุน กองกำลังชาตินิยมของนายพลฟรังโก ในสงครามกลางเมืองในสเปน และลงนามเป็นพันธมิตรกับมุสโสลินีของอิตาลี เดือนมีนาคม 1938 ผนวกออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดอาณาจักรใหม่ของเยอรมัน นั่นคือ อาณาจักรไรซ์ที่สาม (the Third Reich - new German Empire) จากนั้นก็เข้ายึดครองตอนเหนือของเชคโกลโลวะเกียในเดื อนกันยายน 1938 และยึดครองทั้งประเทศใน มีนาคม 1939 พร้อมๆกันนั้นฮิตเลอร์ก็เข้ายึดคองเมืองท่าเมเมล (Memel) ของลิธัวเนีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายเยอรมัน จากนั้นก็ยึดดานซิกและส่วนที่แบ่งแยกเยอรมัน กับปรัสเซียตะวันออกของโปแลนด์

รุ่งอรุณของวันที่ 1 กันยายน 1939 เครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมัน หรือลุฟวาฟ (Luftwaffe) ก็เริ่มต้นการทิ้งระเบิดถล่มจุดยุทธศาสตร์ในประเทศโปแลนด์ พร้อมๆกับกำลังรถถังและทหารราบ ก็เคลื่อนกำลังผ่านชายแดนโปแลนด์เข้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkeieg) ที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดนำ ตามด้วยยานเกราะและทหารราบ เข้าบดขยี้หน่วยทหารโปแลนด์ที่เสียขวัญ จากการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน วันที่ 2 กันยายน อังกฤษและฝรั่งเศส ในฐานะประเทศพันธมิตรของโปแลนด์ ยื่นคำขาดต่อฝ่ายเยอรมัน ให้ถอนทหารออกจากโปแลนด์ แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ วันที่ 3 กันยายน 1939 ฝรั่งเศสและอังกฤษ ประกาศสงครามกับเยอรมัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อจากนี้ไป โลกจะนองไปด้วยเลือดและน้ำตาอีกเป็นเวลากว่า 5 ปี

 Click the image to open in full size.
ทหารเยอรมัน กำลังรุกเข้าสู่โปแลนด์ ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 39 โดยกองทัพเยอรมันแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ กลุ่มกองทัพเหนือ (Army Group North) รุกลงใต้จาก Pomerania และจากปรัสเซียตะวันออก และ กลุ่มกองทัพใต้ (Army Group South) รุกเข้าไปทางชายแดนด้านตะวันตกของโปแลนด์ ภายในเวลาสองวัน กองทัพอากาศเยอรมันก็สามารถครองน่านฟ้าเหนือโปแลนด์ได้

กองทหารโปแลนด์ถูกเยอรมันรุกแบบสายฟ้าแลบ คือ ทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบิน และใช้ยานเกราะที่มีความเร็วสูงตีเจาะแนวตั้งรับ เมื่อเจาะเข้าไปได้แล้ว รถถังจะโอบหลังหน่วยทหารโปแลนด์ ทำให้เกิดวงล้อมเล็กๆขึ้น ภายในวงล้อมใหญ่ จากนั้นทหารราบเยอรมันจะทำการกวาดล้างทหารโปแลนด์ที่ อยู่ในวงล้อมนั้นๆ จนกระทั่งวันที่ 14 กันยายน วงล้อมต่างๆ ก็ถูกกวาดล้างจนเกือบจะหมดสิ้น และวันที่ 27 กันยายน โปแลนด์ก็ยอมแพ้ในที่สุด

การใช้ความเร็วเข้าพิชิตโปแลนด์นั้น สาเหตุหนึ่งเพื่อลดการสูญเสียของทหารเยอรมัน แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ฮิตเลอร์เกรงว่า ฝรั่งเศสซึ่งประกาศสงครามกับเยอรมันในฐานะพันธมิตรของโปแลนด์ จะรุกเข้ามาทางชายแดนด้านตะวันตกของเยอรมัน เพราะในฝรั่งเศสมีทหารอังกฤษประจำการอยู่ถึง 150,000 คนประจำการอยู่ตามแนวชายแดนเบลเยี่ยม ส่วนกองพลของฝรั่งเศส 43 กองพล ซึ่งถือเป็นกำลังส่วนใหญ่ประจำอยู่หลังแนวมายิโนต์ (Maginot)


 Click the image to open in full size.
ทหารเยอรมันกำลังสวนสนาม ประกาศชัยชนะบนถนนกลางกรุงวอร์ซอร์ ในวันที่ 5 ตุลาคม 1939 ภายหลังการเข้ายึดครองประเทศโปแลนด์อย่างสมบูรณ์ เมื่อโปแลนด์ประกาศยอมแพ้ในวันที่ 27 กันยายน 1939 โปรดสังเกตุหน่วยทหารรักษาความปลอดภัย ตามแนวถนน ที่เห็นอยู่ด้านหลัง จะเห็นว่ามีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก เนื่องมาจากสองสาเหตุคือ การสวนสนามในครั้งนี้ อดอฟ ฮิตเลอร์เดินทางมาร่วมงานประกาศชัยชนะ และสาเหตุที่สองคือ การต่อต้านของฝ่ายโปแลนด์ ยังไม่หมดลงอย่างสิ้นซาก แม้กระทั่งในวันสวนสนามนี้ กลุ่มต่อต้านของโปแลนด์เพิ่งจะถูกกวาดล้างจากบริเวณ Kock ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงวอร์ซอร์

สงครามครั้งนี้ ชาวโปแลนด์ทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตกว่า 66,000 คน บาดเจ็บ 200,000 คน ถูกจับเป็นเชลย 700,000 คน ฝ่ายเยอรมันสูญเสียน้อยกว่ามาก โดยมีผู้เสียชีวิต 10,500 คน และบาดเจ็บ 30,300 คน

อย่างไรก็ตาม ฝันร้ายของชาวโปแลนด์เพิ่งจะเริ่มต้น เพราะต่อจากนี้ไปอีก 5 ปีแห่งการยึดครอง ชาวโปแลนด์จะถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส เพราะแนวความคิดของนาซีเยอรมันที่มีต่อชาวโปแลนด์ คือชนชาติชั้นทาส (a slave nation) ดังนั้นการยึดครองโปแลนด์จึงไม่ใช่แค่การยึดครองแต่เ พียงดินแดน หากแต่ต้องการทำลายเอกลักษณ์ของชาติโปแลนด์อย่างสิ้น เชิงอีกด้วย ภาพการสวนสนามที่เห็นนี้ นาซีเยอรมันใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข็มแข็งของทหารเยอรมัน ซึ่งผลจากการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ ทำให้ประเทศต่างๆ เกิดความเกรงกลัวศักยภาพของนาซีเยอรมันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามคงไม่มีใครปฏิเสธว่า ตามความเป็นจริงแล้ว กองทัพนาซีเยอรมันในขณะนั้น นับเป็นกองทัพที่มีความเข้มแข็งที่สุดกองทัพหนึ่งของ โลก


 Click the image to open in full size.
ภายหลังที่พิชิตโปแลนด์แล้ว ฮิตเลอร์ก็มองต่อไปที่นอร์เวย์ ในฐานะที่จะใช้เป็นฐานของกองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีเกาะอังกฤษ 4 เมษายน 1940 เยอรมันก็บุกนอรเวย์ เมืองท่านาร์วิก (Narvik) ถูกยึดในวันที่ 9 เมษายน อังกฤษและฝรั่งเศสส่งกำลังเข้าตอบโต้ แต่ไม่เป็นผล กำลังพันธมิตรที่ยกพลขึ้นบกที่ Trondheim ถูกทหารเยอรมันกวาดล้างจนต้องถอยกลับไป

ในวันที่ 28 พฤษภาคม พันธมิตรยึดเมืองนาร์วิกได้ แต่ก็ถอยกลับไปอีก การรุกของพันธมิตร แม้จะทำความเสียหายให้กองทัพเรือเยอรมันอย่างหนัก แต่เยอรมันก็รุกเข้ากรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างเหนียวแน่น แต่ไม่นานออสโลก็ยอมแพ้

วันที่ 14 พฤษภาคม 1940 กองทัพเยอรมันก็รุกข้ามแม่น้ำเมิร์ส (Meuse) ที่เมืองซีดาน (Sedan) ล้อมทหารอังกฤษและฝรั่งเศส ที่อยู่ในเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสตอนเหนือ วันที่ 20 พฤษภาคม รถถังของเยอรมันก็รุกถึงช่องแคบอังกฤษ ทหารอังกฤษ ฝรั่งเศสกว่า 338,000 คน ในจำนวนนี้เป็นทหารอังกฤษ 225,000 คน ก็ไปจนมุมที่ดังเคิร์ก (Dankirk) และล่าถอยกลับเกาะอังกฤษ ปล่อยให้เยอรมันกวาดล้าง ทหารฝรั่งเศสที่หลงเหลืออยู่บนแผ่นดินใหญ่จนหมดสิ้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม ฝรั่งเศสก็ยอมแพ้

อีกสี่วันต่อมา การต่อต้านของทหารฝรั่งเศสก็ยุติลงอย่างสิ้นเชิง ยุโรปตกเป็นของฮิตเลอร์อย่างสิ้นเชิง เป้าหมายของเขาต่อไปก็คือ เกาะอังกฤษ ซึ่งเขาสั่งเปิดยุทธการสิงโตทะเล (Sealion) ในวันที่ 10 กรกฎาคม 1940 โดยกองทัพอากาศเยอรมัน รับหน้าที่ทำลายกำลังทางอากาศ และภาคพื้นดินของอังกฤษด้วยการโจมตีทางอากาศอย่างหนั ก การรบรุนแรงมากที่สุดในช่วงกลางเดือนสิงหาคม โดยเฉพาะวันที่ 15 สิงหาคม เยอรมันโจมตีอย่างหนัก และสูญเสียเครื่องบินถึง 72 ลำ จนวันนี้ได้รับการตั้งชื่อว่าวันพฤหัสดำ (Black Thursday) ความสูญเสียของเยอรมันมีมากจนฮิตเลอร์ต้องสั่งเลื่อน ยุทธการ สิงโตทะเลออกไปอย่างไม่มีกำหนด เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1940


 Click the image to open in full size.
เครื่องบิน Ju 87 สตูก้า (Stuka) ของเยอรมัน เป็นเครื่องบินดำทิ้งระเบิด ซึ่งมีบทบาทมาก ในช่วงต้นของสงคราม โดยทำหน้าที่ทิ้งระเบิดที่มั่นของทหารโปแลนด์ เบลเยี่ยม อังกฤษ และฝรั่งเศส จนเป็นเหตุให้แนวตั้งรับของพันธมิตรแตกลงอย่างรวดเร็ ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบในฝรั่งเศส ในภาพจะเห็นตอนหัวของเครื่องใกล้กับใบพัด มีไซเรนสีขาวติดอยู่ เพื่อทำให้เกิดเสียงแหลมขณะเครื่องดำดิ่งลงสู่เป้าหม าย เป็นการทำลายขวัญของทหารฝ่ายตรงข้าม

จุดอ่อนของเครื่องบินชนิดนี้ก็คือ เมื่อดำลงไปทิ้งระเบิดแล้ว ขณะที่นักบินเชิดหัวเครื่องขึ้น ในช่วงนี้เครื่องบินจะตกเป็นเป้านิ่งของเครื่องบินข้ าศึกได้ง่าย ในการโจมตีเกาะอังกฤษของฮิตเลอร์ ตามแผนยุทธการสิงโตทะเล (Sealion) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม1940 เครื่องบินชนิดนี้ ประสบกับความสูญเสียจาก เครื่องบินขับไล่ ของอังกฤษเป็นอย่างมาก จนต้องถอนกำลังออกมา ภายหลังเครื่องบินสตูก้านี้ ได้รับการปรับปรุงให้เป็นเครื่องบินทำลายรถถัง (tank buster) ในแนวรบด้านรัสเซีย
 Click the image to open in full size.
รถถัง Panzer Mark I ของเยอรมันในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง สัญญลักษณ์ของกองทัพนาซีที่ติดกับยานเกราะ ยังเป็นเพียงกากบาทสีขาว แต่มีข้อแนะนำว่า กากบาทนี้ กลายเป็นจุดเล็งอย่างดีให้กับปืนใหญ่ของฝ่ายข้าศึก จึงมีการเปลี่ยนโดยเพิ่มกากบาทสีดำภายในกากบาทสีขาวใ นช่วงการบุกเข้าไปในคาบสมุทรบอลข่าน และเรียกสัญญลักษณ์ใหม่นี้ว่า บอลข่านคริซ (Balkan krzyz) นอกจากนี้จะสังเกตุเห็นหมวกแบเร่ต์สีดำของทหารยานเกร าะ หรือหน่วยแพนเซอร์ ซึ่งใช้เฉพาะช่วงแรกของสงคราม คือในการรบในโปแลนด์และฝรั่งเศส ต่อมาได้ยกเลิกไปในกลางปี 1941 และใช้หมวกแก๊ปแทน

 Click the image to open in full size.
ภายหลังยกเลิกยุทธการสิงโตทะเลในการบุกเกาะอังกฤษแล้ ว ฮิตเลอร์เตรียมบุกรัสเซีย แต่ก็ต้องส่งกำลังเข้าบุกยูโกสลาเวียใน 6 เมษายน 1941 และกรีซ (Greece) ก่อน เพราะรัฐบาลยูโกสลาเวียที่เป็นฝ่ายเยอรมันถูกโค่นล้ม โดยฝ่ายปฏิวัติที่สนับสนุนโดยทหารอังกฤษที่กรีซ ซึ่งทำให้แผนการบุกรัสเซียต้องล่าช้าออกไป
เยอรมันใช้เวลาเพียง 10 วันในการยึดยูโกสลาเวีย และใช้เวลากว่าสองสัปดาห์ ยึดกรีซได้สำเร็จ ทหารอังกฤษกว่า 18,000 คนในกรีซถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะครีต (Crete)
ฮิตเลอร์ส่งกำลังพลร่ม หรือ ฟอลชริมเจกอร์ (Fallschirmjager) เข้าโจมตีเกาะครีต เป็นการปฏิบัติการส่งทางอากาศครั้งยิ่งใหญ่ของเยอรมัน ซึ่งแม้เยอรมันจะยึดเกาะครีตได้สำเร็จ ในปลายเดือนพฤษภาคม แต่ก็ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีทหารพลร่มเยอรมันเสียชีวิตและบาดเจ็บถึงกว่า 10,000 คน และนับจากยุทธการที่เกาะครีต ฮิตเลอร์ก็ไม่เคยสั่งใช้กำลังพลร่มในการโจมตีใหญ่ๆ อีกเลย
หลังจากต้องเสียเวลาในการจัดการกับประเทศในบอลข่านแล ้ว ฮิตเลอร์ก็เปิดฉากบุกรัสเซียในเวลา 03.30 รุ่งอรุณของวันที่ 22 มิถุนายน 1941 ในยุทธการบาร์บารอสซ่า เป็นเวลา 129 ปี หลังจากที่นโปเลียนโบนาปาร์ต จักรพรรดิ์แห่งฝรั่งเศส บุกรัสเซียเมื่อปี 1812 ทหารเยอรมันกว่าสามล้านคน รถถัง 3,580 คัน ปืนใหญ่ 7,184 กระบอก เครื่องบินกว่า 2,000 ลำ กำลังมุ่งหน้าเข้าไปสู่หล่มแห่งความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สาม ของฮิตเลอร์


 Click the image to open in full size.
แผนที่ยุโรป ในปี 1942 ซึ่งฮิตเลอร์ได้เข้าครอบครองยุโรปเกือบทั้งหมด
สีน้ำตาลอ่อนนั้นคือดินแดนในครอบครองของเยอรมัน จะเห็นว่าฝรั่งเศสแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่เยอรมันครอบครอง และส่วนที่ไม่ได้ครอบครอง (Unoccupied Zone) แต่ปกครองโดยรัฐบาลหุ่นของเยอรมัน โดยจอมพลวิซี่
สีน้ำตาลเข้ม คือฝ่ายอักษะ ซึ่งเป็นพันธมิตรของเยอรมัน มีทั้ง อิตาลี ฮังการี โรมาเนีย บัลกาเรีย ฟินแลนด์
สีขาวคือ ประเทศเป็นกลาง มี สวิตเซอร์แลนด์ สเปน สวีเดน และไอร์แลนด์ สเปนเป็นประเทศที่ฮิตเลอร์ผิดหวังมาก เพราะก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ส่งกำลังเข้าไปช่วยในสงครามกลางเมือง แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น รัฐบาลสเปนกลับวางตัวเป็นกลาง แทนที่จะเข้าร่วมกับเยอรมัน
สีเขียวคือฝ่ายพันธมิตร มีอังกฤษ และรัสเซีย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.thaigaming.com/wwii-warfare/51682.htm


วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สงครามโลกครั้งที่ 1


สงครามโลกครั้งที่ 1


แผนที่สงครามโลกครั้งที่ 1แสดงการรบในยุโรปและตะวันออกกลาง
1. ข้อสรุปของสงครามโลกครั้งที่ 1 (..1914 - 1918)
          1.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมระยะเวลา 4 ปี
                    - เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม
                    - สิ้นสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน ..1918 เมื่อเยอรมนียอมสงบศึกยุติสงคราม
          1.2 การลงนามในสัญญาสันติภาพ ฉบับที่สำคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์วายส์ (Treaty of Versailles ) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1919 เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้เยอรมนีในฐานะชาติผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
          1.3 ประเทศคู่สงคราม สงครามโลก ครั้งที่ 1 เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ค่าย ได้แก่
                  (1) ฝ่ายมหาอำนาจสัมพันธมิตร ( Allied Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาไตรภาคี” หรือทริเปิล อองตองต์ ( Triple Entente ) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และยังมีชาติอื่น  สมทบเข้าร่วมในสงครามอีก 23 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในช่วงปลายของสงคราม
                   (2) ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี” หรือทริเปิล อัลไลแอนซ์ (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
          1.4 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 1 สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรปและได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่น  ของโลก มีประเทศเข้าร่วมในสงครามมากกว่า 30 ประเทศ เป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 20 ล้านคน
2. สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 1
          สาเหตุที่ทำให้ประเทศในยุโรปก่อสงครามทำลายล้างกันจนขยายตัวเป็นสงครามโลก ครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้       
         2.1 ลัทธิชาตินิยม ก่อนเกิดสงครามครั้งที่ 1 กระแสความรู้สึกชาตินิยมทวีความรุนแรงในหมู่ชนชาติต่าง  ในยุโรป โดยมีสาแหตุเกิดจากการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี จนเกิดความคิดว่าการทำสงครามเป็นการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ      
          นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจต่างพยายามต่อสู้ในทางลับเพื่อแยกตัวเป็นประเทศเอกราช เช่น พวกสลาฟ (Slav) ในคาบสมุทรบอลคาน ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและเซอร์เบียให้แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี เป็นต้น
          2.2 ลัทธิจักรวรรดินิยม ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปแข่งขันกันขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า โดยเฉพาะดินแดนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
          2.3 ลัทธินิยมทางทหาร หรือการแข่งขันด้านแสนยานุภาพทางทหาร เกิดจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ต่างพยายามแข่งขันกันสะสมอาวุธและความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตนทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มจะใช้กำลังทางทหารแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
          2.4 การขยายตัวของระบบพันธมิตรทางทหาร ความหวาดระแวงและความตึงเครียดในปัญหาความขัดแย้งต่าง  ทำให้ชาติมหาอำนาจของยุโรปต้องทำสัญญาผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรทางทหาร โดยแบ่งเป็น 2 ค่าย ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ากันมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้สงครามตัดสินปัญหา
3. ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 1
3.1 สถานการณ์ที่นำไปสู่ชนวนระเบิดของสงครามโลก ครั้งที่ 1 คือ กรณีลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) องค์รับทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงของแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1914 โดยคนร้านที่ถือสัญชาติเซอร์เบีย ทำให้รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี ปักในเชื่อว่ารัฐบาลเซอร์เบียอยู่เบื้องหลัง
3.2 ปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวบานปลายกลายเป็นสงคราม เพราะระบบการสร้างกลุ่มสัญญาพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายหนึ่งมีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อีกฝ่ายหนึ่งมีรัสเซีย และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
สงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามที่ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะตรึงเครียด และเศรษฐกิจทรุดตัวอย่างหนัก สงครามที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ.1914 – 1918)  เป็นสงครามครั้งแรกที่ขั้วอำนาจของโลกถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่าย พันธมิตร (รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ,อิตาลี,สหรัฐ,ญี่ปุ่น,โรมาเนีย,เซอร์เบีย,เบลเยี่ยม,กรีซ,โปรตุเกส,มองเตเนโกร)  และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี,ออสเตรีย-ฮังการี,ตุรกี,บัลแกเรีย) สงครามสิ้นสุดด้วยการปราชัยของฝ่ายมหาอำนาจกลาง และเกิดสหภาพโซเวียตขึ้น จากการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซีย จากเหตุการณ์ปฎิวัติรัสเซีย สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก และเกิดองค์การสันนิบาติชาติขึ้น เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการทูต   ภายหลังสงครามครั้งนี้ยังนำไปสู่ สนธิสัญญา ที่เป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ชื่อสนธิสัญญา แวร์ซายส์

เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรงของสงคราม
28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกลอบปลงประชนม์โดยนักศึกษาชาวเซิร์บ ในเมืองซาราเยโวของบอสเนีย หลังจากนั้น 1 เดือน ออสเตรียจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย

28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย การประกาศสงครามของออสเตรีย ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในอีกหลายประเทศ มหาอำนาจในยุโรปจำนวนมาก ต้องเข้าสู่สงคราม เนื่องจากข้อตกลงการป้องกันร่วมกัน และการเข้าแทรกแซงสงครามของประเทศพันธมิตร 

รัสเซียให้ความสนับสนุนเซอร์เบีย  โดยส่งทหารกว่า 1 ล้านคน ไปตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ

เยอรมนี ให้ความสนับสนุน ออสเตรีย ประเทศพันธมิตร

เยอรมนี ยื่นคำขาด เรียกร้องให้รัสเซียหยุดทำการระดมพล แต่รัสเซียปฏิเสธ

1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซีย โดยเยอรมนี ได้เตรียม แผนการชลีฟเฟ่น ไว้รับมือกับสงครามครั้งนี้ 

โดยแผนการ ชลีฟเฟ่น จัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1905 โดย  นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น เสนาธิการของเยอรมนีในขณะนั้น โดยสาระสำคัญของแผ่นการนี้คือ เยอรมนี จะทำการรบทั้ง 2 ด้าน โดยจะต้องทำการรบให้ชนะฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทำการรบกับรัสเซีย โดยเยอรมนีจะต้องบุกเบลเยียม เพื่อผ่านเข้าไปทางแนวป้องกันของฝรั่งเศส แล้วโอบล้อมฝรั่งเศสไว้เป็นรูปวงโค้งใหญ่ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะระดมพล แล้วจึงจะบุกไปทางตะวันออกเพื่อปราบรัสเซีย โดยเดินไปตามทางรถไฟ ซึ่งเยอรมนีได้จัดเตรียมไว้ สาเหตุที่ เลือกโจมตีฝรั่งเศสก่อน เนื่องมาจากรัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่หากจะรบให้ชนะต้องใช้เวลานาน การโจมตีฝรั่งเศสจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 
แผนการชลีฟเฟ่น ซึ่งถูกคิดขึ้นในปี 1905 โดย นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น

3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศส

4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม ตามแผนการที่วางไว้
การบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม ของเยอรมนี ทำให้อังกฤษเข้าร่วมสงคราม เป็นศัตรูกับเยอรมนี  เพื่อคุ้มครองเบลเยี่ยมตามสนธิสัญญาแห่งลอนดอน ค.ศ. 1839 ที่หลายๆ ประเทศมหาอำนาจร่วมกันค้ำประกันความเป็นกลางของเบลเยี่ยม
 สงครามควรจะเป็นไปตามแผนการที่เยอรมนีวางไว้ หากเยอรมนีไม่ประเมินกำลังของฝ่ายศัตรูต่ำเกินไป จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 จักรพรรดิ เยอรมนี ในขณะนั้น ทรงตรัสกับทหารของท่านว่า จงจำไว้ เราสามารถเข้าถึงกรุงปารีสภายใน 2 สัปดาห์แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ได้เป็นไปตามที่ ฝ่ายเยอรมนีคาดการณ์ไว้ เบลเยี่ยมทำการต่อต้านทหารของเยอรมนีอย่างเหนียวแน่น รัสเซียเคลื่อนกำลังพลอย่างรวดเร็ว โจมตีปรักเซียตะวันออก ทำให้เยอรมนี ต้องแบ่งกองทัพเพื่อตั้งรับ แทนที่จะทุ่มกำลังทั้งหมดพิชิตเบลเยี่ยมตามแผนการ ชลีฟเฟ่น  แต่ในภายหลังเยอรมนีก็สามารบุกถึงฝรั่งเศสได้ แต่ช้ากว่าที่กำหนดในแผนการไว้มาก แต่เยอรมนีก็ไม่ได้โอบล้อมกรุงปารีสไว้ ตามแผนการ ชลีฟเฟ่น แต่กลับเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ข้ามแนวป้องกันของกรุงปารีสแทน เมื่อเยอรมนีไม่สามารถทำตามแผนการ ชลีฟเฟ่น ที่ต้องการให้เยอรมนีบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ทำให้เยอรมนีต้องเจอสงครามที่ยืดเยื้อตามมาในอนาคต และห่างไกลจากชัยชนะออกไป

แนวการรบในแดนตะวันตก
การขุดดินทำสนามเพลาะ แม้จะไม่ใช่วิธีใหม่ในสงคราม แต่ถือได้ว่าเป็นวิธีการตั้งรับที่ดีผลดีที่สุดในขณะนั้น ในยุทธการแม่น้ำซอมม์ กองทัพฝ่ายพันธมิตรต้องการที่จะรุกคลืบเข้าไปในเขตแนวการตั้งรับของฝ่ายเยอรมันที่เต็มไปด้วยสนามเพลาะ ผลจากการกระทำของฝ่ายพันธมิตรครั้งนี้คือ ความสูญเสียชีวิตทหารจำนวนมาก แต่ฝ่ายเยอรมันเองก็ไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของฝ่ายพันธมิตรได้ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย ได้แต่ตั้งรับในเขตแดนของตนเอง

ต่างฝ่ายต่างคิดยุทธวิธีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการรบ แต่ในที่สุดอาวุธที่ทำให้แนวรบด้านตกวันตกถึงขั้นแตกหักได้ ได้แก่รถถังซึ่งอังกฤษผลิตออกมาใช้ครั้งแรกใน ยุทธภูมิแม่น้ำซอมม์ ในปี ค.ศ. 1916 แต่ในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะรถถังเคลื่อนตัวได้ช้า และมีจำนวนไม่มากนัก แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังตั้งหน้าตั้งตาผลิตต่อไป จนในปี ค.ศ. 1918 รถถังและการบินระยะต่ำ ๆ ก็ทำให้ฝ่ายพันธมิตรประสบชัยชนะขั้นเด็ดขาดจนนายพล ลูเดนดอร์ฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีแน่ใจว่าเยอรมนีแพ้สงคราม
 
รถถังมาร์ค I ถูกคิดขึ้นโดยอังกฤษ
การนำหน้าโดยรถถัง คอยทำลายแนวลวดหนาม และการสนับสนุนของทหารราบ
ทำให้กองทัพเยอรมันต้องล่าถอย และแพ้สงครามในปี 1918

แนวในการรบในแดนตะวันออก
แม้ในแดนตะวันตก จะมีฝ่ายใดเอาชัยเหนืออีกฝ่ายได้ แต่ในแดนตะวันออก กลับเป็นการรบที่ต้องรุกต้องถอยกลับไปกลับมา คลุมพื้นที่ระหว่างบอลติกกับทะเลอาซอฟ กองทัพรัสเซียวางแผนที่จะโจมตีในหลาย ๆ ทิศทางโดยพุ่งเป้าหมายไปยังแคว้นกาซิเลียของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และปรัสเซียตะวันออกของเยอรมนี การรุกเข้าไปยังแคว้นกาซิเลียประสบความสำเร็จ แต่ด้านปรัสเซียตะวันออกกลับประสบความความล้มเหลว ในระหว่างเดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 1914

แต่ในปี ค.ศ. 1916 นายพลบรูซิลอฟแม่ทัพรัสเซียได้นำการบุกครั้งใหญ่ กดดันให้เยอรมนีต้องนำกำลังทหาร 35 กองพล จากด้านตะวันตกเพื่อมาช่วยรบกับ กองกำลังของนายพลบรูซิลอฟ และในปลายปี กองทัพรัสเซียถูกกองทัพเยอรมนีตีจนต้องถอยร่นกลับไปทางตะวันออก หลังจากเริ่มปี ค.ศ. 1917 ได้เพียงไม่กี่เดือน ก็เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในรัสเซีย และนำไปสู่ การปฎิวัติรัสเซีย ขึ้น ทำให้รัสเซียต้องถอนตัวจากฝ่ายพันธมิตร และการประกาศเลิกสงคราม

การรบทางทะเล
เยอรมนี อังกฤษ เผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียวที่ยุทธภูมิจัทแลนด์ ปี ค.ศ. 1916 เป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไม่มีฝ่ายได้เป็นฝ่ายมีชัย ภายหลังเยอรมนีหันมาใช้เรือดำน้ำ โจมตีเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน เรือดำนั้นของเยอรมนี สามารถจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรได้จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีเรือ ลูซิทาเนีย ของสหรัฐอเมริกาอยู่ด้วย ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมสงครามในเวลาต่อมา

การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา
การปิดล้อมทางทะเลของอังกฤษ เพื่อหวังให้ฝ่ายเยอรมันขาดแคลนอาหาร ทำให้เยอรมนีต้องตอบโต้ด้วยการออกปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขต ในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ทำให้เรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรถูกจมไปคิดเป็นปริมาณเฉลี่ยกว่า 500,000 ตันต่อเดือน ภายหลัง ฝ่ายพันธมิตรได้แก้ปัญหาโดยให้มีเรือพิฆาตคอยคุ้มกันเรือพาณิชย์

ในช่วงต้นของสงคราม สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมสงคราม แต่หลังจากที่เรือดำน้ำเยอรมนี ได้จมเรือ ลูซิทาเนีย ซึ่งมีชาวอเมริกันอยู่ 128 คน ทำให้ วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ต่อมาในภายหลังเยอรมนีได้ยกเลิก ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตตามข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา

ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เยอรมนีได้กลับมาใช้ ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้ง และได้มีการส่งรหัสลับจากกรุงเบอร์ลินไปยังเม็กซิโก โดยได้เชิญชวนเม็กซิโกเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ต่อต้านสหรัฐอเมริกา และได้มีการเสนอผลตอบแทนเป็น รัฐเท็กซัส รัฐนิวเม็กซิโกและรัฐแอริโซน ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นการตอบแทน แต่หน่วยถอดรหัสของราชนาวีอังกฤษ สามารถแกะรหัสลับได้ และได้มีการเปิดเผยต่อสหรัฐ ซึ่งต่อมาสหรัฐได้ประกาศสงครามในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917

จุดจบของสงคราม
การเข้าสู่สงครามของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นกุญแจแห่งชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากกำลังทหารที่สหรัฐอเมริกา ได้นำมาช่วยแล้ว ยังมีทรัพยากรมหาศาล เพราะในขณะนั้นรัสเซียได้ประกาศเลิกสงครามและทิ้งการรบด้านตะวันตกไป จากการปฏิวัติรัสเซีย

21 มีนาคม 1918 เยอรมนีบุกครั้งใหญ่ในด้านตะวันตก โดยหวังให้ กองทัพอังกฤษ และฝรั่งเศส แยกออกจากกัน ก่อนที่กองกำลังสหรัฐจะมาสนับสนุน  โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อาเมียนส์อย่างหนัก ทำให้กองทัพพันธมิตรไม่สามารถต้านทานได้ กองทัพเยอรมนีสามารถรุกเข้าไปได้เกือบที่จะถึงกรุงปารีส ชัยชนะของเยอรมนีอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วเยอรมนีก็ต้องฝันสลาย พร้อมกับการมาถึงของกองทัพสหรัฐ

ในยุทธภูมิอาเมียนส์ มีรถถังคอยทำลายแนวลวดหนาม พร้อมด้วยการสนับสนุนของทหารราบ ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถกดดันให้กองทัพเยอรมนีต้องล่าถอย จนกลับไปสู่แนวพรมแดนของตนเอง และแล้วความปราชัยของเยอรมนีก็มาถึง

4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 เยอรมนีได้ส่งคำร้องขอยุติสงครามไปยัง วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น วูดโรว์ วิลสัน ได้ยื่นเงื่อนไขในการยุติสงคราม 14 ข้อ โดยไม่ได้ปรึกษากับฝ่ายพันธมิตร
1.ห้ามทำสนธิสัญญาลับระหว่างประเทศ
2.เสรีภาพทางท้องทะเลแม้ในยามสงคราม
3.การค้าเสรีระหว่างประเทศ
4.การลดอาวุธ
5.แก้ไขการอ้างสิทธิอาณานิคม
6.เยอรมนีต้องถอนตัวออกจากดินแดนของรัสเซีย
7.อิสรภาพของเบลเยี่ยม
8.ต้องคืนแคว้นอัลซัค ลอร์เรนให้ฝรั่งเศส
9.ต้องปรับพรมแดนของอิตาลี
10.ให้โอกาสปกครองตนเอง แก่จักรวรรดิออสเตรีย ฮังการี
11.ต้องฟื้นฟูรัฐบอลข่าน และเซอร์เบียต้องมีทางออกทะเล
12.ประชากรที่ไม่ใช่ชาวเติร์กในจักรวรรดิตุรกีต้องเป็นอิสระ
13.สร้างโปแลนด์ขึ้นใหม่
14.ต้องจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ
หลักการ 14 ประการของ ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน มุ่งหวังที่จะให้เกิดสันติภาพแก่โลก แต่น่าเสียดายที่สันติภาพโลกไม่สามารถลบล้างความแค้นของฝ่ายพันธมิตรได้ โดยถูกสนธิสัญญาแห่งความแค้น สนธิสัญญาที่เป็นชนวนของสงครามที่รุนแรงกว่า เลวร้ายกว่า และสูญเสียมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้หลายเท่านั้น คือ สงครามโลกครั้งที่ 2” สนธิสัญญาแห่งความแค้นนี้ชื่อว่า สนธิสัญญาแวร์ซายส์และในระหว่างที่เยอรมนี กำลังดำเนินการยุติสงคราม ประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลาง ก็ได้แพ้สงครามดังนี้

30 กันยายน ค.ศ. 1918  บัลแกเรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม

31 ตุลาคม ค.ศ. 1918  ตุรกี ประกาศยอมแพ้สงคราม

3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ออสเตรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม
จักรพรรดิ ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 ของเยอรมนี จักรพรรดิผู้นำโลกเข้าสู่สงคราม
ภายหลังจากเยอรมนีสงครามยุติ พระองค์ทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์
เหตุการณ์หลังจากสงครามสงบ
7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918  เยอรมนีรับเงื่อนไขการสงบศึก

9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 ของเยอรมนี และมกุฎราชกุมารเสด็จไปประทับที่เนเธอร์แลนด์

11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สัญญาสงบศึกมีผลบังคับใช้

และแล้วสงครามที่ดำเนินมายาวนานถึง 4 ปี ก็สงบลง แต่ความแค้นในใจมนุษย์ไม่มีวันหมด โดยเยอรมนี ได้ลงนามในสนธิสัญญา แวร์ซายส์ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1919 แต่สันติภาพไม่คงทน อีก 20 ปีต่อมา ก็บังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
4. ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 1
          ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประเมินผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่าง  ที่เกิดขึ้นในยุโรป สรุปได้ดังนี้
          4.1 ความหายนะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งทหารและพบเรือน รวมไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน ทรัพย์สินของแต่ละประเทศรับความเสียหายอย่างหนัก รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
          4.2 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงความก้าวหน้าในการประดิษฐ์อาวุธร้ายแรงต่าง  ของประเทศคู่สงคราม เช่น การนำรถถังมาใช้เป็นครั้งแรก การนำเครื่องบินรถติอาวุธมาทำสงครามกลางอากาศเป็นครั้งแรก และรวมทั้งการใช้ปืนกล ปืนใหญ่ และแก๊สพิษ เป็นต้น
          4.3 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป สงครามโลก ครั้งที่ 1 มีผลทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปหลายจักรวรรดิต้องล่มสลาย เช่น จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี) เป็นต้น และทำให้เกิดประเทศใหม่  อีกหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย ฯลฯ
          4.4 การเกิดองค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพของโลกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งมิให้เกิดสงครามขึ้นอีก
            4.5หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922 เกิดการร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี
- สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทำกับเยอรมนี เยอรมนีต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนหลายแห่ง ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ ในเยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์นำมาประณามเมื่อเริ่มมีอำนาจ 
- สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
- สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
- สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
- สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกี ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโลซานน์ 

 เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2