สงครามโลกครั้งที่ 2
สาเหตุของสงคราม
ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา
ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญาและต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา (ความไม่พอใจของฝ่ายผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อข้อตกลงสันติภาพ โดยเฉพาะสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์)
สนธิสัญญาสันติภาพที่ไม่เป็นธรรม ระบุให้ประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย ค่าปฏิกรรมสงครามและเสียดินแดน เช่นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนี ต้องเสียอาณานิคม ต้องคืนแคว้นอัลซาล – ลอเรนแก่ฝรั่งเศส โปเซนและปรัสเซียตะวันตกให้โปแลนด์ มอรสเนท ยูเพนและมัลเมดีให้เบลเยี่ยม ชเลสวิคและโฮลสไตน์ให้เดนมาร์ก แคว้นซูเดเตนให้เชคโกสโลวาเกีย และ เมเมลให้ลิทัวเนีย จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ปีละ 5 พันล้านดอลลาร์ ถูกจำกัดกำลังทหารมีทหารได้ไม่เกิน 100,000 คน ห้ามเกณฑ์ทหารเป็นต้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขี้น ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ปลุกระดมต่อต้านการเสียค่าปฏิกรรมสงคราม และนำความอดยาก ยากจนมาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง สนธิสัญญาแวร์ซายส์ (Versailles Treaty) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 ซึ่งนับเป็นวันยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ระบุให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ถูกลดกำลังทหารและอาวุธ ถูกยึดดินแดนอาณานิคม ทำให้เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำ ประชาชนตกงาน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงทั่วประเทศ ชาวเยอรมันโกรธแค้นมาก ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในช่วงนี้ สร้างกระแสชาตินิยม ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และพัฒนาอุตสาหกรรมและการทหาร จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)
เงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนีต้องรับผลจากการสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างรุนแรง ดังต่อไปนี้
ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา
ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญาและต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา (ความไม่พอใจของฝ่ายผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อข้อตกลงสันติภาพ โดยเฉพาะสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์)
สนธิสัญญาสันติภาพที่ไม่เป็นธรรม ระบุให้ประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย ค่าปฏิกรรมสงครามและเสียดินแดน เช่นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนี ต้องเสียอาณานิคม ต้องคืนแคว้นอัลซาล – ลอเรนแก่ฝรั่งเศส โปเซนและปรัสเซียตะวันตกให้โปแลนด์ มอรสเนท ยูเพนและมัลเมดีให้เบลเยี่ยม ชเลสวิคและโฮลสไตน์ให้เดนมาร์ก แคว้นซูเดเตนให้เชคโกสโลวาเกีย และ เมเมลให้ลิทัวเนีย จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ปีละ 5 พันล้านดอลลาร์ ถูกจำกัดกำลังทหารมีทหารได้ไม่เกิน 100,000 คน ห้ามเกณฑ์ทหารเป็นต้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขี้น ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ปลุกระดมต่อต้านการเสียค่าปฏิกรรมสงคราม และนำความอดยาก ยากจนมาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง สนธิสัญญาแวร์ซายส์ (Versailles Treaty) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 ซึ่งนับเป็นวันยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ระบุให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก ถูกลดกำลังทหารและอาวุธ ถูกยึดดินแดนอาณานิคม ทำให้เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำ ประชาชนตกงาน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงทั่วประเทศ ชาวเยอรมันโกรธแค้นมาก ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในช่วงนี้ สร้างกระแสชาตินิยม ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และพัฒนาอุตสาหกรรมและการทหาร จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)
เงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนีต้องรับผลจากการสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างรุนแรง ดังต่อไปนี้
1.
เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนของตนคือ
อัลซาสลอเรนให้แก่ฝรั่งเศส ต้องยอมยกดินแดนภาคตะวันออกให้โปแลนด์ไปหลายแห่ง
2.
ต้องยอมให้สันนิบาตชาติเข้าดูแลแคว้นซาร์เป็นเวลา
10
ปี
3.
เกิดฉนวนโปแลนด์ POLISH
CORRIDOR ผ่านดินแดนภาคตะวันออกของเยอรมนีเพื่อให้โปแลนด์มีทางออกไปสู่ทะเลบอลติกที่เมืองดานซิก
ซึ่งเยอรมนีถูกบังคับให้ยกดินแดนดังกล่าวให้โปแลนด์ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ยังผลให้ปรัสเซียตะวันออกถูกแยกออกจากส่วนอื่นของเยอรมนี ซึ่งฮิตเล่อร์ถือว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ต่อไป
4.
ต้องสูญเสียอาณานิคมทั้งหมดของตนให้แก่องค์การสันนิบาตชาติดูแลฐานะดินแดนในอาณัติ
จนกว่าจะเป็นเอกราช
5.
ต้องยอมจํากัดอาวุธ
และทหารประจําการลงอย่างมาก
6.
ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจํานวนมหาศาลให้แก่ประเทศที่ชนะสงคราม
ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง
ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ
ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นำไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบการปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน
ความแตกต่างทางด้านการปกครอง กลุ่มประเทศฟาสซิสต์มีความเข้มแข็งมากขึ้น ได้รวมกันเป็น มหาอำนาจอักษะ (Berlin-Rome-Tokyo Axis ) จุดประสงค์แรก คือเพื่อต่อต้านรัสเซีย ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้ขยายไปสู่การต่อต้านชนชาติยิวและนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นำไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบการปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน
ความแตกต่างทางด้านการปกครอง กลุ่มประเทศฟาสซิสต์มีความเข้มแข็งมากขึ้น ได้รวมกันเป็น มหาอำนาจอักษะ (Berlin-Rome-Tokyo Axis ) จุดประสงค์แรก คือเพื่อต่อต้านรัสเซีย ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้ขยายไปสู่การต่อต้านชนชาติยิวและนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี
อิตาลี และญี่ปุ่น
ลัทธิชาตินิยมในช่วงคริสตศตวรรษที่20 ซึ่งได้เกิดขึ้นในหลายๆประเทศรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็น ลักษณะของลัทธิชาตินิยมมีลักษณะย้ำการดําเนินนโยบายของชาติของตน การดำรงไว้ซึ่งบูรณภาพของชาติ การเพิ่มอํานาจของชาติ ขณะเดียวกันเน้นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมของตน มีความพยายามที่จะรักษาและเพิ่มพูนความไพศาล ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของชาติตนไว้ มีการเน้นความสําคัญของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ของตน ว่าเหนือเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์อื่น
ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นคำที่มาจากภาษาละติน "fasces" มีความหมายกว้างๆ ว่าเป็นลัทธิชาตินิยมขวาจัดกับการใช้อำนาจสูงสูด ของผู้นำที่รับผิดชอบแต่ผู้เดียว พรรคฟาสซิสม์ที่รู้จักกันมาก คือ พรรคของมุสโสลินีที่เริ่มต้นการปกครองแบบสาธารณรัฐ ต่อต้านนายทุน เคลื่อนไหวทางศาสนาอย่างแข็งขันมากแล้วเปลี่ยนไป สู่การสนับสนุนระบบตลาดเสรี ระบอบกษัตริย์ และยังรวมถึงศาสนาด้วย อย่างไรก็ตาม ขบวนการณ์ฟาสซิสม์ทั้งหลาย (Oswald Mosley's Black-shirts ในบริเทน Iron Guard ในโรมาเนีย Croix de Feu ในฝรั่งเศส และที่มีแนวทางคล้ายกันในยุโรป) จะมีนโยบายที่ไม่ต่างกัน คือ การคุกคามกับการสร้างลัทธิชาตินิยมอย่างไม่จำกัดขอบเขต ไม่ยอมรับสถาบันประชาธิปไตย และเสรีใดๆ ที่ไม่ยินยอมให้พวกตนใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ถ้าเป็นหนทางที่จะได้มาซึ่งอำนาจ แล้วผู้ปกครองฟาสซิสม์จะไม่สนใจเรื่องการปกครองระบอบใดมากนัก ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นศัตรูสำคัญของลัทธิสังคมนิยม มีลักษณะการเน้นที่บทบาทของผู้นำคนเดียว และมีความสัมพันธ์กับกองทัพอย่างลึกซึ้ง พรรคฟาสซิสม์กับนาซีจะมีแนวนโยบายเหมือนกันมาก และพรรคนาซีนั้นได้ใช้รูปแบบของพรรคฟาสซิสม์ มาพัฒนาให้ผู้นำมีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตามแม้พรรคฟาสซิสม์จะมีนโนบายต่อต้านต่างชาติ แต่ฟาสซิสม์อิตาลีไม่ได้ต่อต้านพวกเซมิติคอย่างจริงจังเหมือนนาซี พรรคฟาสซิสม์อ่อนแอลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายคล้ายคลึง คือพรรคสังคมอิตาเลียน (Italian Social Movement) กับพรรคแนวหน้ารักชาติในอังกฤษกับฝรั่งเศส (National Front in Britain and France)
เนื่องจากความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และเยอรมนีพัฒนาตนเองจนแข็งแกร่งเป็นอาณาจักรเยอรมนีที่ 3 และมีนโยบายบุกรุกดินแดน (นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการ ฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น)
ลัทธิชาตินิยมในช่วงคริสตศตวรรษที่20 ซึ่งได้เกิดขึ้นในหลายๆประเทศรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็น ลักษณะของลัทธิชาตินิยมมีลักษณะย้ำการดําเนินนโยบายของชาติของตน การดำรงไว้ซึ่งบูรณภาพของชาติ การเพิ่มอํานาจของชาติ ขณะเดียวกันเน้นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมของตน มีความพยายามที่จะรักษาและเพิ่มพูนความไพศาล ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของชาติตนไว้ มีการเน้นความสําคัญของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ของตน ว่าเหนือเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์อื่น
ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นคำที่มาจากภาษาละติน "fasces" มีความหมายกว้างๆ ว่าเป็นลัทธิชาตินิยมขวาจัดกับการใช้อำนาจสูงสูด ของผู้นำที่รับผิดชอบแต่ผู้เดียว พรรคฟาสซิสม์ที่รู้จักกันมาก คือ พรรคของมุสโสลินีที่เริ่มต้นการปกครองแบบสาธารณรัฐ ต่อต้านนายทุน เคลื่อนไหวทางศาสนาอย่างแข็งขันมากแล้วเปลี่ยนไป สู่การสนับสนุนระบบตลาดเสรี ระบอบกษัตริย์ และยังรวมถึงศาสนาด้วย อย่างไรก็ตาม ขบวนการณ์ฟาสซิสม์ทั้งหลาย (Oswald Mosley's Black-shirts ในบริเทน Iron Guard ในโรมาเนีย Croix de Feu ในฝรั่งเศส และที่มีแนวทางคล้ายกันในยุโรป) จะมีนโยบายที่ไม่ต่างกัน คือ การคุกคามกับการสร้างลัทธิชาตินิยมอย่างไม่จำกัดขอบเขต ไม่ยอมรับสถาบันประชาธิปไตย และเสรีใดๆ ที่ไม่ยินยอมให้พวกตนใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ถ้าเป็นหนทางที่จะได้มาซึ่งอำนาจ แล้วผู้ปกครองฟาสซิสม์จะไม่สนใจเรื่องการปกครองระบอบใดมากนัก ลัทธิฟาสซิสม์ เป็นศัตรูสำคัญของลัทธิสังคมนิยม มีลักษณะการเน้นที่บทบาทของผู้นำคนเดียว และมีความสัมพันธ์กับกองทัพอย่างลึกซึ้ง พรรคฟาสซิสม์กับนาซีจะมีแนวนโยบายเหมือนกันมาก และพรรคนาซีนั้นได้ใช้รูปแบบของพรรคฟาสซิสม์ มาพัฒนาให้ผู้นำมีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ตามแม้พรรคฟาสซิสม์จะมีนโนบายต่อต้านต่างชาติ แต่ฟาสซิสม์อิตาลีไม่ได้ต่อต้านพวกเซมิติคอย่างจริงจังเหมือนนาซี พรรคฟาสซิสม์อ่อนแอลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองที่มีแนวนโยบายคล้ายคลึง คือพรรคสังคมอิตาเลียน (Italian Social Movement) กับพรรคแนวหน้ารักชาติในอังกฤษกับฝรั่งเศส (National Front in Britain and France)
เนื่องจากความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และเยอรมนีพัฒนาตนเองจนแข็งแกร่งเป็นอาณาจักรเยอรมนีที่ 3 และมีนโยบายบุกรุกดินแดน (นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการ ฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น)
ลัทธินิยมทางทหาร
ได้แก่ การสะสมอาวุธเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้เกิดความเครียดระหว่างประเทศมากขึ้น และเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ได้แก่ การสะสมอาวุธเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้เกิดความเครียดระหว่างประเทศมากขึ้น และเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ
การใช้นโยบายออมชอมของอังกฤษเมื่อเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่น การเพิ่มกำลังทหารและการรุกรานดินแดนต่างๆ ทำให้เยอรมนีและพันธมิตรได้ใจและรุกรานมากขึ้น
การใช้นโยบายออมชอมของอังกฤษเมื่อเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่น การเพิ่มกำลังทหารและการรุกรานดินแดนต่างๆ ทำให้เยอรมนีและพันธมิตรได้ใจและรุกรานมากขึ้น
ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ
เนื่องจากไม่มีกองทัพขององค์การ ทำให้ขาดอำนาจในการปฏิบัติการและอเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิกจึงทำให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้สงคราม (ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในการเป็นองค์กรกลางเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ) และความอ่อนแอของ องค์การสันนิบาตชาติ ที่ไม่สามารถบังคับประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ปฏิบัติตามสัตยาบันได้
เนื่องจากไม่มีกองทัพขององค์การ ทำให้ขาดอำนาจในการปฏิบัติการและอเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิกจึงทำให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้สงคราม (ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในการเป็นองค์กรกลางเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ) และความอ่อนแอของ องค์การสันนิบาตชาติ ที่ไม่สามารถบังคับประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ปฏิบัติตามสัตยาบันได้
บทบาทของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐปิดประเทศโดดเดี่ยว สมัยประธานาธิบดีมอนโร ตามแนวคิดในวาทะมอนโร สหรัฐจะไม่แทรกแซงกิจการประเทศอื่นและไม่ยอมให้ประเทศอื่นมาแทรกแซงกิจการของตนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ประชาชนจึงเลือกพรรคเดโมแครต(Democratic Party)เข้ามาเป็นรัฐบาลปกครองประเทศโดยประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รุสเวลท์ ได้รับเลือกต่อกันถึงสี่สมัย ( ค.ศ.1933 – 1945 )
สหรัฐปิดประเทศโดดเดี่ยว สมัยประธานาธิบดีมอนโร ตามแนวคิดในวาทะมอนโร สหรัฐจะไม่แทรกแซงกิจการประเทศอื่นและไม่ยอมให้ประเทศอื่นมาแทรกแซงกิจการของตนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ประชาชนจึงเลือกพรรคเดโมแครต(Democratic Party)เข้ามาเป็นรัฐบาลปกครองประเทศโดยประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รุสเวลท์ ได้รับเลือกต่อกันถึงสี่สมัย ( ค.ศ.1933 – 1945 )
สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ในช่วงทศวรรษ 1920 – 1930 โดยเฉพาะช่วง ในปี ค.ศ.1929-1931 ( ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 )
ในช่วงทศวรรษ 1920 – 1930 โดยเฉพาะช่วง ในปี ค.ศ.1929-1931 ( ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 )
วิกฤตการณ์สำคัญก่อนสงคราม
1.
เยอรมนียกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ.
1936
และสนธิสัญญาโลคาร์โดยการเข้าครอบครองแคว้นไรน์ และ
การเพิ่มกำลังอาวุธของเยอรมัน
2.
สงครามอิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ค.ศ. 1936 (พิพาทระหว่างอิตาลีกับอังกฤษ ในกรณีที่อิตาลีบุกเอธิโอเปีย)
3.
สงครามกลางเมืองสเปน ค.ศ. 1936 – 1939
4.
เยอรมนีรวมออสเตรีย ค.ศ. 1938
5.
เยอรมนีรวมเชคโกสโลวาเกีย ค.ศ. 1938
6.
อิตาลียึดครองแอลเบเนีย ค.ศ. 1939
7.
ปัญหาฉนวนโปแลนด์ ค.ศ. 1939
8.
การขยายอำนาจของญี่ปุ่นในเอเชีย ค.ศ. 1931 – 1939
(ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย แล้วตั้งเป็นรัฐแมนจูกัว
เพื่อเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและแหล่งทำทุนใหม่สำหรับตลาดการค้าของญี่ปุ่น)

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงในปี
1918
ด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรในขณะนั้นประกอบด้วย อิตาลี ฝรั่งเศส
อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (the Varsailles treaty) เพื่อจำกัดสิทธิของเยอรมัน
ในอันที่จะเป็นภัยคุกคามอีกครั้ง สนธิสัญญาแวร์ซายลงนามในวันที่ 28
มิ.ย. 1919
ส่งผลให้กองทัพเยอรมันถูกจำกัดขนาดให้เล็กลง ดินแดนต่างๆ ถูกริบ หรือยึดครอง
ดังที่ปรากฏในแผนที่ข้างบน อาทิ ฝรั่งเศสเข้าครอบครองอัลซาส ลอเรนน์ (Alsace-Lorranine) เบลเยี่ยมยึดอูเปนและมาลเมดี
(Eupen, Malmedy)
โปแลนด์เข้าครอง โปเสน (Posen) และปรัสเซียตะวันออกบางส่วน
ดานซิก (Danzig) กลายเป็นรัฐอิสระ
ฝรั่งเศสเข้าควบคุมเหมืองถ่านหินในแคว้นซาร์ (Saar) แลกกับการที่เยอรมันทำลายเหมืองถ่านหินของตน
ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไรน์
กลายเป็นเขตปลอดทหาร (Demilitarized)
และยึดครองโดยฝ่ายพันธมิตรลึกเข้าไป 30
ไมล์ นอกจากนี้เยอรมันยังต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินอีก 6,600
ล้านปอนด์

ในเดือนมกราคม 1933
อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chancellor ของประเทศเยอรมัน
และเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศในที่สุด (Fuhrer)
ในปี 1935
ฮิตเลอร์ได้เริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 16
มีนาคม 1935
ฮิตเลอร์ก็ประกาศเสริมสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นใหม่
ซึ่งเท่ากับเป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย แต่เนื่องจากนโยบายต่างประเทศของเขา
ที่พยายามแสดงให้พันธมิตรเห็นว่า เขาไม่ใช่ภัยคุกคามต่อพันธมิตร
และเป็นผู้ที่ต้องการสันติภาพเช่นเดียวกับอังกฤษและฝรั่งเศส
เพียงแต่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมันที่ตกต่ำเท่านั้น
ทำให้พันธมิตรนิ่งเฉยต่อการดำเนนิการของฮิตเลอร์ และแล้วในเดือนมีนาคม 1936
เขาก็ส่งทหารกลับเข้าไปยึดครองแคว้นไรน์
ที่ตามสนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร
พร้อมๆกับส่งทหารเยอรมันเข้าสนับสนุน กองกำลังชาตินิยมของนายพลฟรังโก
ในสงครามกลางเมืองในสเปน และลงนามเป็นพันธมิตรกับมุสโสลินีของอิตาลี เดือนมีนาคม 1938
ผนวกออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน
ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดอาณาจักรใหม่ของเยอรมัน นั่นคือ อาณาจักรไรซ์ที่สาม (the Third Reich - new German
Empire) จากนั้นก็เข้ายึดครองตอนเหนือของเชคโกลโลวะเกียในเดื
อนกันยายน 1938
และยึดครองทั้งประเทศใน มีนาคม 1939
พร้อมๆกันนั้นฮิตเลอร์ก็เข้ายึดคองเมืองท่าเมเมล (Memel) ของลิธัวเนีย
ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายเยอรมัน
จากนั้นก็ยึดดานซิกและส่วนที่แบ่งแยกเยอรมัน กับปรัสเซียตะวันออกของโปแลนด์
รุ่งอรุณของวันที่ 1
กันยายน 1939
เครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมัน หรือลุฟวาฟ (Luftwaffe) ก็เริ่มต้นการทิ้งระเบิดถล่มจุดยุทธศาสตร์ในประเทศโปแลนด์
พร้อมๆกับกำลังรถถังและทหารราบ ก็เคลื่อนกำลังผ่านชายแดนโปแลนด์เข้าไปอย่างรวดเร็ว
เป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkeieg)
ที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดนำ
ตามด้วยยานเกราะและทหารราบ เข้าบดขยี้หน่วยทหารโปแลนด์ที่เสียขวัญ
จากการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน วันที่ 2
กันยายน อังกฤษและฝรั่งเศส ในฐานะประเทศพันธมิตรของโปแลนด์ ยื่นคำขาดต่อฝ่ายเยอรมัน
ให้ถอนทหารออกจากโปแลนด์ แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ วันที่ 3 กันยายน 1939
ฝรั่งเศสและอังกฤษ ประกาศสงครามกับเยอรมัน
ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อจากนี้ไป
โลกจะนองไปด้วยเลือดและน้ำตาอีกเป็นเวลากว่า 5 ปี

ทหารเยอรมัน กำลังรุกเข้าสู่โปแลนด์
ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 18
ก.ย. 39
โดยกองทัพเยอรมันแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ กลุ่มกองทัพเหนือ (Army Group North) รุกลงใต้จาก
Pomerania และจากปรัสเซียตะวันออก
และ กลุ่มกองทัพใต้ (Army
Group South) รุกเข้าไปทางชายแดนด้านตะวันตกของโปแลนด์
ภายในเวลาสองวัน กองทัพอากาศเยอรมันก็สามารถครองน่านฟ้าเหนือโปแลนด์ได้
กองทหารโปแลนด์ถูกเยอรมันรุกแบบสายฟ้าแลบ
คือ ทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบิน และใช้ยานเกราะที่มีความเร็วสูงตีเจาะแนวตั้งรับ
เมื่อเจาะเข้าไปได้แล้ว รถถังจะโอบหลังหน่วยทหารโปแลนด์ ทำให้เกิดวงล้อมเล็กๆขึ้น
ภายในวงล้อมใหญ่ จากนั้นทหารราบเยอรมันจะทำการกวาดล้างทหารโปแลนด์ที่
อยู่ในวงล้อมนั้นๆ จนกระทั่งวันที่ 14
กันยายน วงล้อมต่างๆ ก็ถูกกวาดล้างจนเกือบจะหมดสิ้น และวันที่ 27
กันยายน โปแลนด์ก็ยอมแพ้ในที่สุด
การใช้ความเร็วเข้าพิชิตโปแลนด์นั้น
สาเหตุหนึ่งเพื่อลดการสูญเสียของทหารเยอรมัน แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ
ฮิตเลอร์เกรงว่า ฝรั่งเศสซึ่งประกาศสงครามกับเยอรมันในฐานะพันธมิตรของโปแลนด์
จะรุกเข้ามาทางชายแดนด้านตะวันตกของเยอรมัน
เพราะในฝรั่งเศสมีทหารอังกฤษประจำการอยู่ถึง 150,000
คนประจำการอยู่ตามแนวชายแดนเบลเยี่ยม ส่วนกองพลของฝรั่งเศส 43
กองพล ซึ่งถือเป็นกำลังส่วนใหญ่ประจำอยู่หลังแนวมายิโนต์ (Maginot)

ทหารเยอรมันกำลังสวนสนาม
ประกาศชัยชนะบนถนนกลางกรุงวอร์ซอร์ ในวันที่ 5 ตุลาคม 1939
ภายหลังการเข้ายึดครองประเทศโปแลนด์อย่างสมบูรณ์ เมื่อโปแลนด์ประกาศยอมแพ้ในวันที่
27
กันยายน 1939
โปรดสังเกตุหน่วยทหารรักษาความปลอดภัย ตามแนวถนน ที่เห็นอยู่ด้านหลัง จะเห็นว่ามีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก
เนื่องมาจากสองสาเหตุคือ การสวนสนามในครั้งนี้ อดอฟ
ฮิตเลอร์เดินทางมาร่วมงานประกาศชัยชนะ และสาเหตุที่สองคือ
การต่อต้านของฝ่ายโปแลนด์ ยังไม่หมดลงอย่างสิ้นซาก แม้กระทั่งในวันสวนสนามนี้
กลุ่มต่อต้านของโปแลนด์เพิ่งจะถูกกวาดล้างจากบริเวณ Kock ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงวอร์ซอร์
สงครามครั้งนี้
ชาวโปแลนด์ทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตกว่า 66,000
คน บาดเจ็บ 200,000
คน ถูกจับเป็นเชลย 700,000
คน ฝ่ายเยอรมันสูญเสียน้อยกว่ามาก โดยมีผู้เสียชีวิต 10,500
คน และบาดเจ็บ 30,300
คน
อย่างไรก็ตาม ฝันร้ายของชาวโปแลนด์เพิ่งจะเริ่มต้น
เพราะต่อจากนี้ไปอีก 5
ปีแห่งการยึดครอง ชาวโปแลนด์จะถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส
เพราะแนวความคิดของนาซีเยอรมันที่มีต่อชาวโปแลนด์ คือชนชาติชั้นทาส (a slave nation) ดังนั้นการยึดครองโปแลนด์จึงไม่ใช่แค่การยึดครองแต่เ
พียงดินแดน หากแต่ต้องการทำลายเอกลักษณ์ของชาติโปแลนด์อย่างสิ้น เชิงอีกด้วย
ภาพการสวนสนามที่เห็นนี้ นาซีเยอรมันใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์
หรือที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเรียกว่า การโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข็มแข็งของทหารเยอรมัน
ซึ่งผลจากการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ ทำให้ประเทศต่างๆ
เกิดความเกรงกลัวศักยภาพของนาซีเยอรมันเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามคงไม่มีใครปฏิเสธว่า ตามความเป็นจริงแล้ว กองทัพนาซีเยอรมันในขณะนั้น
นับเป็นกองทัพที่มีความเข้มแข็งที่สุดกองทัพหนึ่งของ โลก

ภายหลังที่พิชิตโปแลนด์แล้ว
ฮิตเลอร์ก็มองต่อไปที่นอร์เวย์ ในฐานะที่จะใช้เป็นฐานของกองทัพอากาศ
ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีเกาะอังกฤษ 4
เมษายน 1940
เยอรมันก็บุกนอรเวย์ เมืองท่านาร์วิก (Narvik)
ถูกยึดในวันที่ 9
เมษายน อังกฤษและฝรั่งเศสส่งกำลังเข้าตอบโต้ แต่ไม่เป็นผล
กำลังพันธมิตรที่ยกพลขึ้นบกที่ Trondheim
ถูกทหารเยอรมันกวาดล้างจนต้องถอยกลับไป
ในวันที่ 28
พฤษภาคม พันธมิตรยึดเมืองนาร์วิกได้ แต่ก็ถอยกลับไปอีก การรุกของพันธมิตร
แม้จะทำความเสียหายให้กองทัพเรือเยอรมันอย่างหนัก แต่เยอรมันก็รุกเข้ากรุงออสโล
เมืองหลวงของนอร์เวย์ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างเหนียวแน่น แต่ไม่นานออสโลก็ยอมแพ้
วันที่ 14
พฤษภาคม 1940
กองทัพเยอรมันก็รุกข้ามแม่น้ำเมิร์ส (Meuse)
ที่เมืองซีดาน (Sedan) ล้อมทหารอังกฤษและฝรั่งเศส
ที่อยู่ในเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสตอนเหนือ วันที่ 20 พฤษภาคม
รถถังของเยอรมันก็รุกถึงช่องแคบอังกฤษ ทหารอังกฤษ ฝรั่งเศสกว่า 338,000
คน ในจำนวนนี้เป็นทหารอังกฤษ 225,000
คน ก็ไปจนมุมที่ดังเคิร์ก (Dankirk)
และล่าถอยกลับเกาะอังกฤษ
ปล่อยให้เยอรมันกวาดล้าง ทหารฝรั่งเศสที่หลงเหลืออยู่บนแผ่นดินใหญ่จนหมดสิ้น
ในวันที่ 22
พฤษภาคม ฝรั่งเศสก็ยอมแพ้
อีกสี่วันต่อมา
การต่อต้านของทหารฝรั่งเศสก็ยุติลงอย่างสิ้นเชิง
ยุโรปตกเป็นของฮิตเลอร์อย่างสิ้นเชิง เป้าหมายของเขาต่อไปก็คือ เกาะอังกฤษ
ซึ่งเขาสั่งเปิดยุทธการสิงโตทะเล (Sealion)
ในวันที่ 10
กรกฎาคม 1940
โดยกองทัพอากาศเยอรมัน รับหน้าที่ทำลายกำลังทางอากาศ
และภาคพื้นดินของอังกฤษด้วยการโจมตีทางอากาศอย่างหนั ก การรบรุนแรงมากที่สุดในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
โดยเฉพาะวันที่ 15
สิงหาคม เยอรมันโจมตีอย่างหนัก และสูญเสียเครื่องบินถึง 72
ลำ จนวันนี้ได้รับการตั้งชื่อว่าวันพฤหัสดำ (Black Thursday) ความสูญเสียของเยอรมันมีมากจนฮิตเลอร์ต้องสั่งเลื่อน
ยุทธการ สิงโตทะเลออกไปอย่างไม่มีกำหนด เมื่อวันที่ 12
ตุลาคม 1940

เครื่องบิน Ju 87
สตูก้า (Stuka) ของเยอรมัน
เป็นเครื่องบินดำทิ้งระเบิด ซึ่งมีบทบาทมาก ในช่วงต้นของสงคราม
โดยทำหน้าที่ทิ้งระเบิดที่มั่นของทหารโปแลนด์ เบลเยี่ยม อังกฤษ และฝรั่งเศส
จนเป็นเหตุให้แนวตั้งรับของพันธมิตรแตกลงอย่างรวดเร็ ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรบในฝรั่งเศส ในภาพจะเห็นตอนหัวของเครื่องใกล้กับใบพัด
มีไซเรนสีขาวติดอยู่ เพื่อทำให้เกิดเสียงแหลมขณะเครื่องดำดิ่งลงสู่เป้าหม าย
เป็นการทำลายขวัญของทหารฝ่ายตรงข้าม
จุดอ่อนของเครื่องบินชนิดนี้ก็คือ
เมื่อดำลงไปทิ้งระเบิดแล้ว ขณะที่นักบินเชิดหัวเครื่องขึ้น
ในช่วงนี้เครื่องบินจะตกเป็นเป้านิ่งของเครื่องบินข้ าศึกได้ง่าย
ในการโจมตีเกาะอังกฤษของฮิตเลอร์ ตามแผนยุทธการสิงโตทะเล (Sealion) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่
10
กรกฎาคม1940
เครื่องบินชนิดนี้ ประสบกับความสูญเสียจาก เครื่องบินขับไล่ ของอังกฤษเป็นอย่างมาก
จนต้องถอนกำลังออกมา ภายหลังเครื่องบินสตูก้านี้
ได้รับการปรับปรุงให้เป็นเครื่องบินทำลายรถถัง (tank buster) ในแนวรบด้านรัสเซีย

รถถัง Panzer Mark I ของเยอรมันในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง
สัญญลักษณ์ของกองทัพนาซีที่ติดกับยานเกราะ ยังเป็นเพียงกากบาทสีขาว
แต่มีข้อแนะนำว่า กากบาทนี้ กลายเป็นจุดเล็งอย่างดีให้กับปืนใหญ่ของฝ่ายข้าศึก
จึงมีการเปลี่ยนโดยเพิ่มกากบาทสีดำภายในกากบาทสีขาวใ
นช่วงการบุกเข้าไปในคาบสมุทรบอลข่าน และเรียกสัญญลักษณ์ใหม่นี้ว่า บอลข่านคริซ (Balkan krzyz) นอกจากนี้จะสังเกตุเห็นหมวกแบเร่ต์สีดำของทหารยานเกร
าะ หรือหน่วยแพนเซอร์ ซึ่งใช้เฉพาะช่วงแรกของสงคราม
คือในการรบในโปแลนด์และฝรั่งเศส ต่อมาได้ยกเลิกไปในกลางปี 1941
และใช้หมวกแก๊ปแทน

ภายหลังยกเลิกยุทธการสิงโตทะเลในการบุกเกาะอังกฤษแล้
ว ฮิตเลอร์เตรียมบุกรัสเซีย แต่ก็ต้องส่งกำลังเข้าบุกยูโกสลาเวียใน 6
เมษายน 1941
และกรีซ (Greece)
ก่อน
เพราะรัฐบาลยูโกสลาเวียที่เป็นฝ่ายเยอรมันถูกโค่นล้ม
โดยฝ่ายปฏิวัติที่สนับสนุนโดยทหารอังกฤษที่กรีซ
ซึ่งทำให้แผนการบุกรัสเซียต้องล่าช้าออกไป
เยอรมันใช้เวลาเพียง 10
วันในการยึดยูโกสลาเวีย และใช้เวลากว่าสองสัปดาห์ ยึดกรีซได้สำเร็จ ทหารอังกฤษกว่า
18,000
คนในกรีซถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่เกาะครีต (Crete)
ฮิตเลอร์ส่งกำลังพลร่ม หรือ
ฟอลชริมเจกอร์ (Fallschirmjager)
เข้าโจมตีเกาะครีต
เป็นการปฏิบัติการส่งทางอากาศครั้งยิ่งใหญ่ของเยอรมัน
ซึ่งแม้เยอรมันจะยึดเกาะครีตได้สำเร็จ ในปลายเดือนพฤษภาคม
แต่ก็ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก
โดยมีทหารพลร่มเยอรมันเสียชีวิตและบาดเจ็บถึงกว่า 10,000 คน
และนับจากยุทธการที่เกาะครีต ฮิตเลอร์ก็ไม่เคยสั่งใช้กำลังพลร่มในการโจมตีใหญ่ๆ
อีกเลย
หลังจากต้องเสียเวลาในการจัดการกับประเทศในบอลข่านแล
้ว ฮิตเลอร์ก็เปิดฉากบุกรัสเซียในเวลา 03.30
รุ่งอรุณของวันที่ 22
มิถุนายน 1941
ในยุทธการบาร์บารอสซ่า เป็นเวลา 129
ปี หลังจากที่นโปเลียนโบนาปาร์ต จักรพรรดิ์แห่งฝรั่งเศส บุกรัสเซียเมื่อปี 1812
ทหารเยอรมันกว่าสามล้านคน รถถัง 3,580
คัน ปืนใหญ่ 7,184
กระบอก เครื่องบินกว่า 2,000
ลำ กำลังมุ่งหน้าเข้าไปสู่หล่มแห่งความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของอาณาจักรไรซ์ที่สาม
ของฮิตเลอร์

แผนที่ยุโรป ในปี 1942
ซึ่งฮิตเลอร์ได้เข้าครอบครองยุโรปเกือบทั้งหมด
สีน้ำตาลอ่อนนั้นคือดินแดนในครอบครองของเยอรมัน
จะเห็นว่าฝรั่งเศสแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่เยอรมันครอบครอง
และส่วนที่ไม่ได้ครอบครอง (Unoccupied
Zone) แต่ปกครองโดยรัฐบาลหุ่นของเยอรมัน
โดยจอมพลวิซี่
สีน้ำตาลเข้ม คือฝ่ายอักษะ
ซึ่งเป็นพันธมิตรของเยอรมัน มีทั้ง อิตาลี ฮังการี โรมาเนีย บัลกาเรีย ฟินแลนด์
สีขาวคือ ประเทศเป็นกลาง มี
สวิตเซอร์แลนด์ สเปน สวีเดน และไอร์แลนด์ สเปนเป็นประเทศที่ฮิตเลอร์ผิดหวังมาก
เพราะก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ส่งกำลังเข้าไปช่วยในสงครามกลางเมือง
แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น รัฐบาลสเปนกลับวางตัวเป็นกลาง
แทนที่จะเข้าร่วมกับเยอรมัน
สีเขียวคือฝ่ายพันธมิตร
มีอังกฤษ และรัสเซีย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.thaigaming.com/wwii-warfare/51682.htm