วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สงครามโลกครั้งที่ 1


สงครามโลกครั้งที่ 1


แผนที่สงครามโลกครั้งที่ 1แสดงการรบในยุโรปและตะวันออกกลาง
1. ข้อสรุปของสงครามโลกครั้งที่ 1 (..1914 - 1918)
          1.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมระยะเวลา 4 ปี
                    - เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม
                    - สิ้นสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน ..1918 เมื่อเยอรมนียอมสงบศึกยุติสงคราม
          1.2 การลงนามในสัญญาสันติภาพ ฉบับที่สำคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์วายส์ (Treaty of Versailles ) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1919 เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้เยอรมนีในฐานะชาติผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
          1.3 ประเทศคู่สงคราม สงครามโลก ครั้งที่ 1 เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ค่าย ได้แก่
                  (1) ฝ่ายมหาอำนาจสัมพันธมิตร ( Allied Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาไตรภาคี” หรือทริเปิล อองตองต์ ( Triple Entente ) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และยังมีชาติอื่น  สมทบเข้าร่วมในสงครามอีก 23 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในช่วงปลายของสงคราม
                   (2) ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี” หรือทริเปิล อัลไลแอนซ์ (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
          1.4 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 1 สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรปและได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่น  ของโลก มีประเทศเข้าร่วมในสงครามมากกว่า 30 ประเทศ เป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 20 ล้านคน
2. สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 1
          สาเหตุที่ทำให้ประเทศในยุโรปก่อสงครามทำลายล้างกันจนขยายตัวเป็นสงครามโลก ครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้       
         2.1 ลัทธิชาตินิยม ก่อนเกิดสงครามครั้งที่ 1 กระแสความรู้สึกชาตินิยมทวีความรุนแรงในหมู่ชนชาติต่าง  ในยุโรป โดยมีสาแหตุเกิดจากการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี จนเกิดความคิดว่าการทำสงครามเป็นการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ      
          นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจต่างพยายามต่อสู้ในทางลับเพื่อแยกตัวเป็นประเทศเอกราช เช่น พวกสลาฟ (Slav) ในคาบสมุทรบอลคาน ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและเซอร์เบียให้แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี เป็นต้น
          2.2 ลัทธิจักรวรรดินิยม ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปแข่งขันกันขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า โดยเฉพาะดินแดนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
          2.3 ลัทธินิยมทางทหาร หรือการแข่งขันด้านแสนยานุภาพทางทหาร เกิดจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ต่างพยายามแข่งขันกันสะสมอาวุธและความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตนทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มจะใช้กำลังทางทหารแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
          2.4 การขยายตัวของระบบพันธมิตรทางทหาร ความหวาดระแวงและความตึงเครียดในปัญหาความขัดแย้งต่าง  ทำให้ชาติมหาอำนาจของยุโรปต้องทำสัญญาผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรทางทหาร โดยแบ่งเป็น 2 ค่าย ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ากันมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้สงครามตัดสินปัญหา
3. ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 1
3.1 สถานการณ์ที่นำไปสู่ชนวนระเบิดของสงครามโลก ครั้งที่ 1 คือ กรณีลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) องค์รับทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงของแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ..1914 โดยคนร้านที่ถือสัญชาติเซอร์เบีย ทำให้รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี ปักในเชื่อว่ารัฐบาลเซอร์เบียอยู่เบื้องหลัง
3.2 ปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวบานปลายกลายเป็นสงคราม เพราะระบบการสร้างกลุ่มสัญญาพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายหนึ่งมีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อีกฝ่ายหนึ่งมีรัสเซีย และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ..1914 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
สงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามที่ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะตรึงเครียด และเศรษฐกิจทรุดตัวอย่างหนัก สงครามที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ.1914 – 1918)  เป็นสงครามครั้งแรกที่ขั้วอำนาจของโลกถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่าย พันธมิตร (รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ,อิตาลี,สหรัฐ,ญี่ปุ่น,โรมาเนีย,เซอร์เบีย,เบลเยี่ยม,กรีซ,โปรตุเกส,มองเตเนโกร)  และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี,ออสเตรีย-ฮังการี,ตุรกี,บัลแกเรีย) สงครามสิ้นสุดด้วยการปราชัยของฝ่ายมหาอำนาจกลาง และเกิดสหภาพโซเวียตขึ้น จากการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซีย จากเหตุการณ์ปฎิวัติรัสเซีย สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก และเกิดองค์การสันนิบาติชาติขึ้น เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการทูต   ภายหลังสงครามครั้งนี้ยังนำไปสู่ สนธิสัญญา ที่เป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ชื่อสนธิสัญญา แวร์ซายส์

เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรงของสงคราม
28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกลอบปลงประชนม์โดยนักศึกษาชาวเซิร์บ ในเมืองซาราเยโวของบอสเนีย หลังจากนั้น 1 เดือน ออสเตรียจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย

28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย การประกาศสงครามของออสเตรีย ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในอีกหลายประเทศ มหาอำนาจในยุโรปจำนวนมาก ต้องเข้าสู่สงคราม เนื่องจากข้อตกลงการป้องกันร่วมกัน และการเข้าแทรกแซงสงครามของประเทศพันธมิตร 

รัสเซียให้ความสนับสนุนเซอร์เบีย  โดยส่งทหารกว่า 1 ล้านคน ไปตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ

เยอรมนี ให้ความสนับสนุน ออสเตรีย ประเทศพันธมิตร

เยอรมนี ยื่นคำขาด เรียกร้องให้รัสเซียหยุดทำการระดมพล แต่รัสเซียปฏิเสธ

1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซีย โดยเยอรมนี ได้เตรียม แผนการชลีฟเฟ่น ไว้รับมือกับสงครามครั้งนี้ 

โดยแผนการ ชลีฟเฟ่น จัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1905 โดย  นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น เสนาธิการของเยอรมนีในขณะนั้น โดยสาระสำคัญของแผ่นการนี้คือ เยอรมนี จะทำการรบทั้ง 2 ด้าน โดยจะต้องทำการรบให้ชนะฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทำการรบกับรัสเซีย โดยเยอรมนีจะต้องบุกเบลเยียม เพื่อผ่านเข้าไปทางแนวป้องกันของฝรั่งเศส แล้วโอบล้อมฝรั่งเศสไว้เป็นรูปวงโค้งใหญ่ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะระดมพล แล้วจึงจะบุกไปทางตะวันออกเพื่อปราบรัสเซีย โดยเดินไปตามทางรถไฟ ซึ่งเยอรมนีได้จัดเตรียมไว้ สาเหตุที่ เลือกโจมตีฝรั่งเศสก่อน เนื่องมาจากรัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่หากจะรบให้ชนะต้องใช้เวลานาน การโจมตีฝรั่งเศสจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 
แผนการชลีฟเฟ่น ซึ่งถูกคิดขึ้นในปี 1905 โดย นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น

3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศส

4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม ตามแผนการที่วางไว้
การบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม ของเยอรมนี ทำให้อังกฤษเข้าร่วมสงคราม เป็นศัตรูกับเยอรมนี  เพื่อคุ้มครองเบลเยี่ยมตามสนธิสัญญาแห่งลอนดอน ค.ศ. 1839 ที่หลายๆ ประเทศมหาอำนาจร่วมกันค้ำประกันความเป็นกลางของเบลเยี่ยม
 สงครามควรจะเป็นไปตามแผนการที่เยอรมนีวางไว้ หากเยอรมนีไม่ประเมินกำลังของฝ่ายศัตรูต่ำเกินไป จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 จักรพรรดิ เยอรมนี ในขณะนั้น ทรงตรัสกับทหารของท่านว่า จงจำไว้ เราสามารถเข้าถึงกรุงปารีสภายใน 2 สัปดาห์แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ได้เป็นไปตามที่ ฝ่ายเยอรมนีคาดการณ์ไว้ เบลเยี่ยมทำการต่อต้านทหารของเยอรมนีอย่างเหนียวแน่น รัสเซียเคลื่อนกำลังพลอย่างรวดเร็ว โจมตีปรักเซียตะวันออก ทำให้เยอรมนี ต้องแบ่งกองทัพเพื่อตั้งรับ แทนที่จะทุ่มกำลังทั้งหมดพิชิตเบลเยี่ยมตามแผนการ ชลีฟเฟ่น  แต่ในภายหลังเยอรมนีก็สามารบุกถึงฝรั่งเศสได้ แต่ช้ากว่าที่กำหนดในแผนการไว้มาก แต่เยอรมนีก็ไม่ได้โอบล้อมกรุงปารีสไว้ ตามแผนการ ชลีฟเฟ่น แต่กลับเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ข้ามแนวป้องกันของกรุงปารีสแทน เมื่อเยอรมนีไม่สามารถทำตามแผนการ ชลีฟเฟ่น ที่ต้องการให้เยอรมนีบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ทำให้เยอรมนีต้องเจอสงครามที่ยืดเยื้อตามมาในอนาคต และห่างไกลจากชัยชนะออกไป

แนวการรบในแดนตะวันตก
การขุดดินทำสนามเพลาะ แม้จะไม่ใช่วิธีใหม่ในสงคราม แต่ถือได้ว่าเป็นวิธีการตั้งรับที่ดีผลดีที่สุดในขณะนั้น ในยุทธการแม่น้ำซอมม์ กองทัพฝ่ายพันธมิตรต้องการที่จะรุกคลืบเข้าไปในเขตแนวการตั้งรับของฝ่ายเยอรมันที่เต็มไปด้วยสนามเพลาะ ผลจากการกระทำของฝ่ายพันธมิตรครั้งนี้คือ ความสูญเสียชีวิตทหารจำนวนมาก แต่ฝ่ายเยอรมันเองก็ไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของฝ่ายพันธมิตรได้ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย ได้แต่ตั้งรับในเขตแดนของตนเอง

ต่างฝ่ายต่างคิดยุทธวิธีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการรบ แต่ในที่สุดอาวุธที่ทำให้แนวรบด้านตกวันตกถึงขั้นแตกหักได้ ได้แก่รถถังซึ่งอังกฤษผลิตออกมาใช้ครั้งแรกใน ยุทธภูมิแม่น้ำซอมม์ ในปี ค.ศ. 1916 แต่ในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะรถถังเคลื่อนตัวได้ช้า และมีจำนวนไม่มากนัก แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังตั้งหน้าตั้งตาผลิตต่อไป จนในปี ค.ศ. 1918 รถถังและการบินระยะต่ำ ๆ ก็ทำให้ฝ่ายพันธมิตรประสบชัยชนะขั้นเด็ดขาดจนนายพล ลูเดนดอร์ฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีแน่ใจว่าเยอรมนีแพ้สงคราม
 
รถถังมาร์ค I ถูกคิดขึ้นโดยอังกฤษ
การนำหน้าโดยรถถัง คอยทำลายแนวลวดหนาม และการสนับสนุนของทหารราบ
ทำให้กองทัพเยอรมันต้องล่าถอย และแพ้สงครามในปี 1918

แนวในการรบในแดนตะวันออก
แม้ในแดนตะวันตก จะมีฝ่ายใดเอาชัยเหนืออีกฝ่ายได้ แต่ในแดนตะวันออก กลับเป็นการรบที่ต้องรุกต้องถอยกลับไปกลับมา คลุมพื้นที่ระหว่างบอลติกกับทะเลอาซอฟ กองทัพรัสเซียวางแผนที่จะโจมตีในหลาย ๆ ทิศทางโดยพุ่งเป้าหมายไปยังแคว้นกาซิเลียของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และปรัสเซียตะวันออกของเยอรมนี การรุกเข้าไปยังแคว้นกาซิเลียประสบความสำเร็จ แต่ด้านปรัสเซียตะวันออกกลับประสบความความล้มเหลว ในระหว่างเดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 1914

แต่ในปี ค.ศ. 1916 นายพลบรูซิลอฟแม่ทัพรัสเซียได้นำการบุกครั้งใหญ่ กดดันให้เยอรมนีต้องนำกำลังทหาร 35 กองพล จากด้านตะวันตกเพื่อมาช่วยรบกับ กองกำลังของนายพลบรูซิลอฟ และในปลายปี กองทัพรัสเซียถูกกองทัพเยอรมนีตีจนต้องถอยร่นกลับไปทางตะวันออก หลังจากเริ่มปี ค.ศ. 1917 ได้เพียงไม่กี่เดือน ก็เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในรัสเซีย และนำไปสู่ การปฎิวัติรัสเซีย ขึ้น ทำให้รัสเซียต้องถอนตัวจากฝ่ายพันธมิตร และการประกาศเลิกสงคราม

การรบทางทะเล
เยอรมนี อังกฤษ เผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียวที่ยุทธภูมิจัทแลนด์ ปี ค.ศ. 1916 เป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไม่มีฝ่ายได้เป็นฝ่ายมีชัย ภายหลังเยอรมนีหันมาใช้เรือดำน้ำ โจมตีเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน เรือดำนั้นของเยอรมนี สามารถจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรได้จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีเรือ ลูซิทาเนีย ของสหรัฐอเมริกาอยู่ด้วย ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมสงครามในเวลาต่อมา

การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา
การปิดล้อมทางทะเลของอังกฤษ เพื่อหวังให้ฝ่ายเยอรมันขาดแคลนอาหาร ทำให้เยอรมนีต้องตอบโต้ด้วยการออกปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขต ในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ทำให้เรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรถูกจมไปคิดเป็นปริมาณเฉลี่ยกว่า 500,000 ตันต่อเดือน ภายหลัง ฝ่ายพันธมิตรได้แก้ปัญหาโดยให้มีเรือพิฆาตคอยคุ้มกันเรือพาณิชย์

ในช่วงต้นของสงคราม สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมสงคราม แต่หลังจากที่เรือดำน้ำเยอรมนี ได้จมเรือ ลูซิทาเนีย ซึ่งมีชาวอเมริกันอยู่ 128 คน ทำให้ วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ต่อมาในภายหลังเยอรมนีได้ยกเลิก ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตตามข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา

ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เยอรมนีได้กลับมาใช้ ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้ง และได้มีการส่งรหัสลับจากกรุงเบอร์ลินไปยังเม็กซิโก โดยได้เชิญชวนเม็กซิโกเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ต่อต้านสหรัฐอเมริกา และได้มีการเสนอผลตอบแทนเป็น รัฐเท็กซัส รัฐนิวเม็กซิโกและรัฐแอริโซน ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นการตอบแทน แต่หน่วยถอดรหัสของราชนาวีอังกฤษ สามารถแกะรหัสลับได้ และได้มีการเปิดเผยต่อสหรัฐ ซึ่งต่อมาสหรัฐได้ประกาศสงครามในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917

จุดจบของสงคราม
การเข้าสู่สงครามของสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นกุญแจแห่งชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากกำลังทหารที่สหรัฐอเมริกา ได้นำมาช่วยแล้ว ยังมีทรัพยากรมหาศาล เพราะในขณะนั้นรัสเซียได้ประกาศเลิกสงครามและทิ้งการรบด้านตะวันตกไป จากการปฏิวัติรัสเซีย

21 มีนาคม 1918 เยอรมนีบุกครั้งใหญ่ในด้านตะวันตก โดยหวังให้ กองทัพอังกฤษ และฝรั่งเศส แยกออกจากกัน ก่อนที่กองกำลังสหรัฐจะมาสนับสนุน  โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อาเมียนส์อย่างหนัก ทำให้กองทัพพันธมิตรไม่สามารถต้านทานได้ กองทัพเยอรมนีสามารถรุกเข้าไปได้เกือบที่จะถึงกรุงปารีส ชัยชนะของเยอรมนีอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วเยอรมนีก็ต้องฝันสลาย พร้อมกับการมาถึงของกองทัพสหรัฐ

ในยุทธภูมิอาเมียนส์ มีรถถังคอยทำลายแนวลวดหนาม พร้อมด้วยการสนับสนุนของทหารราบ ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถกดดันให้กองทัพเยอรมนีต้องล่าถอย จนกลับไปสู่แนวพรมแดนของตนเอง และแล้วความปราชัยของเยอรมนีก็มาถึง

4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 เยอรมนีได้ส่งคำร้องขอยุติสงครามไปยัง วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น วูดโรว์ วิลสัน ได้ยื่นเงื่อนไขในการยุติสงคราม 14 ข้อ โดยไม่ได้ปรึกษากับฝ่ายพันธมิตร
1.ห้ามทำสนธิสัญญาลับระหว่างประเทศ
2.เสรีภาพทางท้องทะเลแม้ในยามสงคราม
3.การค้าเสรีระหว่างประเทศ
4.การลดอาวุธ
5.แก้ไขการอ้างสิทธิอาณานิคม
6.เยอรมนีต้องถอนตัวออกจากดินแดนของรัสเซีย
7.อิสรภาพของเบลเยี่ยม
8.ต้องคืนแคว้นอัลซัค ลอร์เรนให้ฝรั่งเศส
9.ต้องปรับพรมแดนของอิตาลี
10.ให้โอกาสปกครองตนเอง แก่จักรวรรดิออสเตรีย ฮังการี
11.ต้องฟื้นฟูรัฐบอลข่าน และเซอร์เบียต้องมีทางออกทะเล
12.ประชากรที่ไม่ใช่ชาวเติร์กในจักรวรรดิตุรกีต้องเป็นอิสระ
13.สร้างโปแลนด์ขึ้นใหม่
14.ต้องจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ
หลักการ 14 ประการของ ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน มุ่งหวังที่จะให้เกิดสันติภาพแก่โลก แต่น่าเสียดายที่สันติภาพโลกไม่สามารถลบล้างความแค้นของฝ่ายพันธมิตรได้ โดยถูกสนธิสัญญาแห่งความแค้น สนธิสัญญาที่เป็นชนวนของสงครามที่รุนแรงกว่า เลวร้ายกว่า และสูญเสียมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้หลายเท่านั้น คือ สงครามโลกครั้งที่ 2” สนธิสัญญาแห่งความแค้นนี้ชื่อว่า สนธิสัญญาแวร์ซายส์และในระหว่างที่เยอรมนี กำลังดำเนินการยุติสงคราม ประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลาง ก็ได้แพ้สงครามดังนี้

30 กันยายน ค.ศ. 1918  บัลแกเรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม

31 ตุลาคม ค.ศ. 1918  ตุรกี ประกาศยอมแพ้สงคราม

3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ออสเตรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม
จักรพรรดิ ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 ของเยอรมนี จักรพรรดิผู้นำโลกเข้าสู่สงคราม
ภายหลังจากเยอรมนีสงครามยุติ พระองค์ทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์
เหตุการณ์หลังจากสงครามสงบ
7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918  เยอรมนีรับเงื่อนไขการสงบศึก

9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 ของเยอรมนี และมกุฎราชกุมารเสด็จไปประทับที่เนเธอร์แลนด์

11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สัญญาสงบศึกมีผลบังคับใช้

และแล้วสงครามที่ดำเนินมายาวนานถึง 4 ปี ก็สงบลง แต่ความแค้นในใจมนุษย์ไม่มีวันหมด โดยเยอรมนี ได้ลงนามในสนธิสัญญา แวร์ซายส์ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1919 แต่สันติภาพไม่คงทน อีก 20 ปีต่อมา ก็บังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
4. ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 1
          ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประเมินผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่าง  ที่เกิดขึ้นในยุโรป สรุปได้ดังนี้
          4.1 ความหายนะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งทหารและพบเรือน รวมไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน ทรัพย์สินของแต่ละประเทศรับความเสียหายอย่างหนัก รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
          4.2 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงความก้าวหน้าในการประดิษฐ์อาวุธร้ายแรงต่าง  ของประเทศคู่สงคราม เช่น การนำรถถังมาใช้เป็นครั้งแรก การนำเครื่องบินรถติอาวุธมาทำสงครามกลางอากาศเป็นครั้งแรก และรวมทั้งการใช้ปืนกล ปืนใหญ่ และแก๊สพิษ เป็นต้น
          4.3 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป สงครามโลก ครั้งที่ 1 มีผลทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปหลายจักรวรรดิต้องล่มสลาย เช่น จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี) เป็นต้น และทำให้เกิดประเทศใหม่  อีกหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย ฯลฯ
          4.4 การเกิดองค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพของโลกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งมิให้เกิดสงครามขึ้นอีก
            4.5หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922 เกิดการร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี
- สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทำกับเยอรมนี เยอรมนีต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนหลายแห่ง ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ ในเยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์นำมาประณามเมื่อเริ่มมีอำนาจ 
- สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
- สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
- สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
- สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกี ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโลซานน์ 

 เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น