สงครามโลกครั้งที่ 1

แผนที่สงครามโลกครั้งที่ 1แสดงการรบในยุโรปและตะวันออกกลาง
1.
ข้อสรุปของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914 - 1918)
1.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมระยะเวลา 4 ปี
-
เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม
-
สิ้นสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.1918 เมื่อเยอรมนียอมสงบศึกยุติสงคราม
1.2 การลงนามในสัญญาสันติภาพ ฉบับที่สำคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์วายส์ (Treaty of Versailles ) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1919
เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้เยอรมนีในฐานะชาติผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
1.3 ประเทศคู่สงคราม สงครามโลก ครั้งที่ 1 เกิดจากประเทศมหาอำนาจ
2 ค่าย ได้แก่
(1) ฝ่ายมหาอำนาจสัมพันธมิตร ( Allied Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาไตรภาคี” หรือทริเปิล อองตองต์ ( Triple Entente
) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และยังมีชาติอื่น ๆ สมทบเข้าร่วมในสงครามอีก
23 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในช่วงปลายของสงคราม
(2) ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
(Central Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี” หรือทริเปิล อัลไลแอนซ์ (Triple
Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
1.4 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 1 สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรปและได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก มีประเทศเข้าร่วมในสงครามมากกว่า
30 ประเทศ เป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง
20 ล้านคน
2.
สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่
1
สาเหตุที่ทำให้ประเทศในยุโรปก่อสงครามทำลายล้างกันจนขยายตัวเป็นสงครามโลก ครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้
2.1 ลัทธิชาตินิยม ก่อนเกิดสงครามครั้งที่ 1 กระแสความรู้สึกชาตินิยมทวีความรุนแรงในหมู่ชนชาติต่าง ๆ ในยุโรป โดยมีสาแหตุเกิดจากการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี จนเกิดความคิดว่าการทำสงครามเป็นการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ
นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจต่างพยายามต่อสู้ในทางลับเพื่อแยกตัวเป็นประเทศเอกราช เช่น พวกสลาฟ (Slav) ในคาบสมุทรบอลคาน ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและเซอร์เบียให้แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี เป็นต้น
2.2 ลัทธิจักรวรรดินิยม ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปแข่งขันกันขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า โดยเฉพาะดินแดนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.3 ลัทธินิยมทางทหาร หรือการแข่งขันด้านแสนยานุภาพทางทหาร เกิดจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ต่างพยายามแข่งขันกันสะสมอาวุธและความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตนทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มจะใช้กำลังทางทหารแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
2.4 การขยายตัวของระบบพันธมิตรทางทหาร ความหวาดระแวงและความตึงเครียดในปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ทำให้ชาติมหาอำนาจของยุโรปต้องทำสัญญาผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรทางทหาร โดยแบ่งเป็น 2 ค่าย ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ากันมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้สงครามตัดสินปัญหา
3.
ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 1
3.1 สถานการณ์ที่นำไปสู่ชนวนระเบิดของสงครามโลก ครั้งที่ 1 คือ กรณีลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) องค์รับทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงของแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1914 โดยคนร้านที่ถือสัญชาติเซอร์เบีย ทำให้รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี ปักในเชื่อว่ารัฐบาลเซอร์เบียอยู่เบื้องหลัง
3.2 ปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวบานปลายกลายเป็นสงคราม เพราะระบบการสร้างกลุ่มสัญญาพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายหนึ่งมีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อีกฝ่ายหนึ่งมีรัสเซีย และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
สงครามโลกครั้งที่
1
สงครามที่ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะตรึงเครียด
และเศรษฐกิจทรุดตัวอย่างหนัก สงครามที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึง 4 ปี (ค.ศ.1914 – 1918) เป็นสงครามครั้งแรกที่ขั้วอำนาจของโลกถูกแบ่งเป็น 2
ฝ่าย ระหว่างฝ่าย พันธมิตร (รัสเซีย,ฝรั่งเศส,อังกฤษ,อิตาลี,สหรัฐ,ญี่ปุ่น,โรมาเนีย,เซอร์เบีย,เบลเยี่ยม,กรีซ,โปรตุเกส,มองเตเนโกร) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง
(เยอรมนี,ออสเตรีย-ฮังการี,ตุรกี,บัลแกเรีย) สงครามสิ้นสุดด้วยการปราชัยของฝ่ายมหาอำนาจกลาง
และเกิดสหภาพโซเวียตขึ้น จากการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซีย
จากเหตุการณ์ปฎิวัติรัสเซีย สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก
และเกิดองค์การสันนิบาติชาติขึ้น เพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการทูต ภายหลังสงครามครั้งนี้ยังนำไปสู่ สนธิสัญญา
ที่เป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ชื่อสนธิสัญญา
แวร์ซายส์
เหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรงของสงคราม
28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์
รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกลอบปลงประชนม์โดยนักศึกษาชาวเซิร์บ
ในเมืองซาราเยโวของบอสเนีย หลังจากนั้น 1 เดือน
ออสเตรียจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914
ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย การประกาศสงครามของออสเตรีย
ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในอีกหลายประเทศ มหาอำนาจในยุโรปจำนวนมาก
ต้องเข้าสู่สงคราม เนื่องจากข้อตกลงการป้องกันร่วมกัน
และการเข้าแทรกแซงสงครามของประเทศพันธมิตร
รัสเซียให้ความสนับสนุนเซอร์เบีย โดยส่งทหารกว่า 1 ล้านคน
ไปตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ
เยอรมนี
ให้ความสนับสนุน ออสเตรีย ประเทศพันธมิตร
เยอรมนี
ยื่นคำขาด เรียกร้องให้รัสเซียหยุดทำการระดมพล แต่รัสเซียปฏิเสธ
1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซีย โดยเยอรมนี ได้เตรียม แผนการชลีฟเฟ่น
ไว้รับมือกับสงครามครั้งนี้
โดยแผนการ ชลีฟเฟ่น จัดเตรียมขึ้นในปี ค.ศ. 1905 โดย นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น
เสนาธิการของเยอรมนีในขณะนั้น โดยสาระสำคัญของแผ่นการนี้คือ เยอรมนี จะทำการรบทั้ง
2 ด้าน โดยจะต้องทำการรบให้ชนะฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะทำการรบกับรัสเซีย โดยเยอรมนีจะต้องบุกเบลเยียม
เพื่อผ่านเข้าไปทางแนวป้องกันของฝรั่งเศส แล้วโอบล้อมฝรั่งเศสไว้เป็นรูปวงโค้งใหญ่
ก่อนที่ฝรั่งเศสจะระดมพล แล้วจึงจะบุกไปทางตะวันออกเพื่อปราบรัสเซีย
โดยเดินไปตามทางรถไฟ ซึ่งเยอรมนีได้จัดเตรียมไว้ สาเหตุที่ เลือกโจมตีฝรั่งเศสก่อน
เนื่องมาจากรัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่หากจะรบให้ชนะต้องใช้เวลานาน
การโจมตีฝรั่งเศสจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แผนการชลีฟเฟ่น
ซึ่งถูกคิดขึ้นในปี 1905 โดย นายพลอัลเฟรด ฟอน ชลีฟเฟ่น
3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับฝรั่งเศส
4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เยอรมนีบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม
ตามแผนการที่วางไว้
การบุกเข้าไปในเบลเยี่ยม
ของเยอรมนี ทำให้อังกฤษเข้าร่วมสงคราม เป็นศัตรูกับเยอรมนี เพื่อคุ้มครองเบลเยี่ยมตามสนธิสัญญาแห่งลอนดอน
ค.ศ. 1839 ที่หลายๆ ประเทศมหาอำนาจร่วมกันค้ำประกันความเป็นกลางของเบลเยี่ยม
สงครามควรจะเป็นไปตามแผนการที่เยอรมนีวางไว้
หากเยอรมนีไม่ประเมินกำลังของฝ่ายศัตรูต่ำเกินไป จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 จักรพรรดิ เยอรมนี ในขณะนั้น ทรงตรัสกับทหารของท่านว่า “จงจำไว้ เราสามารถเข้าถึงกรุงปารีสภายใน 2 สัปดาห์”
แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ได้เป็นไปตามที่ ฝ่ายเยอรมนีคาดการณ์ไว้
เบลเยี่ยมทำการต่อต้านทหารของเยอรมนีอย่างเหนียวแน่น
รัสเซียเคลื่อนกำลังพลอย่างรวดเร็ว โจมตีปรักเซียตะวันออก ทำให้เยอรมนี
ต้องแบ่งกองทัพเพื่อตั้งรับ แทนที่จะทุ่มกำลังทั้งหมดพิชิตเบลเยี่ยมตามแผนการ
ชลีฟเฟ่น
แต่ในภายหลังเยอรมนีก็สามารบุกถึงฝรั่งเศสได้
แต่ช้ากว่าที่กำหนดในแผนการไว้มาก แต่เยอรมนีก็ไม่ได้โอบล้อมกรุงปารีสไว้
ตามแผนการ ชลีฟเฟ่น แต่กลับเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ข้ามแนวป้องกันของกรุงปารีสแทน
เมื่อเยอรมนีไม่สามารถทำตามแผนการ ชลีฟเฟ่น
ที่ต้องการให้เยอรมนีบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ
ทำให้เยอรมนีต้องเจอสงครามที่ยืดเยื้อตามมาในอนาคต และห่างไกลจากชัยชนะออกไป
แนวการรบในแดนตะวันตก
การขุดดินทำสนามเพลาะ
แม้จะไม่ใช่วิธีใหม่ในสงคราม แต่ถือได้ว่าเป็นวิธีการตั้งรับที่ดีผลดีที่สุดในขณะนั้น
ในยุทธการแม่น้ำซอมม์
กองทัพฝ่ายพันธมิตรต้องการที่จะรุกคลืบเข้าไปในเขตแนวการตั้งรับของฝ่ายเยอรมันที่เต็มไปด้วยสนามเพลาะ
ผลจากการกระทำของฝ่ายพันธมิตรครั้งนี้คือ ความสูญเสียชีวิตทหารจำนวนมาก
แต่ฝ่ายเยอรมันเองก็ไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของฝ่ายพันธมิตรได้ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย ได้แต่ตั้งรับในเขตแดนของตนเอง
ต่างฝ่ายต่างคิดยุทธวิธีใหม่ๆ
เพื่อใช้ในการรบ แต่ในที่สุดอาวุธที่ทำให้แนวรบด้านตกวันตกถึงขั้นแตกหักได้
ได้แก่รถถังซึ่งอังกฤษผลิตออกมาใช้ครั้งแรกใน ยุทธภูมิแม่น้ำซอมม์ ในปี ค.ศ. 1916 แต่ในครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะรถถังเคลื่อนตัวได้ช้า
และมีจำนวนไม่มากนัก แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังตั้งหน้าตั้งตาผลิตต่อไป จนในปี ค.ศ. 1918 รถถังและการบินระยะต่ำ ๆ ก็ทำให้ฝ่ายพันธมิตรประสบชัยชนะขั้นเด็ดขาดจนนายพล ลูเดนดอร์ฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนีแน่ใจว่าเยอรมนีแพ้สงคราม

รถถังมาร์ค
I
ถูกคิดขึ้นโดยอังกฤษ
การนำหน้าโดยรถถัง
คอยทำลายแนวลวดหนาม และการสนับสนุนของทหารราบ
ทำให้กองทัพเยอรมันต้องล่าถอย
และแพ้สงครามในปี 1918
แนวในการรบในแดนตะวันออก
แม้ในแดนตะวันตก
จะมีฝ่ายใดเอาชัยเหนืออีกฝ่ายได้ แต่ในแดนตะวันออก
กลับเป็นการรบที่ต้องรุกต้องถอยกลับไปกลับมา คลุมพื้นที่ระหว่างบอลติกกับทะเลอาซอฟ
กองทัพรัสเซียวางแผนที่จะโจมตีในหลาย ๆ
ทิศทางโดยพุ่งเป้าหมายไปยังแคว้นกาซิเลียของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
และปรัสเซียตะวันออกของเยอรมนี การรุกเข้าไปยังแคว้นกาซิเลียประสบความสำเร็จ
แต่ด้านปรัสเซียตะวันออกกลับประสบความความล้มเหลว
ในระหว่างเดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 1914
แต่ในปี
ค.ศ. 1916 นายพลบรูซิลอฟแม่ทัพรัสเซียได้นำการบุกครั้งใหญ่
กดดันให้เยอรมนีต้องนำกำลังทหาร 35 กองพล
จากด้านตะวันตกเพื่อมาช่วยรบกับ กองกำลังของนายพลบรูซิลอฟ และในปลายปี
กองทัพรัสเซียถูกกองทัพเยอรมนีตีจนต้องถอยร่นกลับไปทางตะวันออก หลังจากเริ่มปี
ค.ศ. 1917 ได้เพียงไม่กี่เดือน
ก็เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในรัสเซีย และนำไปสู่ การปฎิวัติรัสเซีย ขึ้น
ทำให้รัสเซียต้องถอนตัวจากฝ่ายพันธมิตร และการประกาศเลิกสงคราม
การรบทางทะเล
เยอรมนี
–
อังกฤษ เผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียวที่ยุทธภูมิจัทแลนด์ ปี ค.ศ. 1916 เป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งไม่มีฝ่ายได้เป็นฝ่ายมีชัย ภายหลังเยอรมนีหันมาใช้เรือดำน้ำ
โจมตีเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตร ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน
เรือดำนั้นของเยอรมนี สามารถจมเรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรได้จำนวนมาก
หนึ่งในนั้นมีเรือ ลูซิทาเนีย ของสหรัฐอเมริกาอยู่ด้วย
ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมสงครามในเวลาต่อมา
การเข้าร่วมสงครามของสหรัฐอเมริกา
การปิดล้อมทางทะเลของอังกฤษ
เพื่อหวังให้ฝ่ายเยอรมันขาดแคลนอาหาร
ทำให้เยอรมนีต้องตอบโต้ด้วยการออกปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขต
ในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ทำให้เรือพาณิชย์ของฝ่ายพันธมิตรถูกจมไปคิดเป็นปริมาณเฉลี่ยกว่า 500,000 ตันต่อเดือน ภายหลัง
ฝ่ายพันธมิตรได้แก้ปัญหาโดยให้มีเรือพิฆาตคอยคุ้มกันเรือพาณิชย์
ในช่วงต้นของสงคราม
สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมสงคราม แต่หลังจากที่เรือดำน้ำเยอรมนี
ได้จมเรือ ลูซิทาเนีย ซึ่งมีชาวอเมริกันอยู่ 128 คน ทำให้ วูดโรว์
วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ต่อมาในภายหลังเยอรมนีได้ยกเลิก
ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตตามข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา
ต่อมาในเดือนมกราคม
ค.ศ. 1917 เยอรมนีได้กลับมาใช้ ปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตอีกครั้ง
และได้มีการส่งรหัสลับจากกรุงเบอร์ลินไปยังเม็กซิโก
โดยได้เชิญชวนเม็กซิโกเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ต่อต้านสหรัฐอเมริกา
และได้มีการเสนอผลตอบแทนเป็น รัฐเท็กซัส รัฐนิวเม็กซิโกและรัฐแอริโซน
ของสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นการตอบแทน แต่หน่วยถอดรหัสของราชนาวีอังกฤษ
สามารถแกะรหัสลับได้ และได้มีการเปิดเผยต่อสหรัฐ
ซึ่งต่อมาสหรัฐได้ประกาศสงครามในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917
จุดจบของสงคราม
การเข้าสู่สงครามของสหรัฐอเมริกา
ถือว่าเป็นกุญแจแห่งชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากกำลังทหารที่สหรัฐอเมริกา
ได้นำมาช่วยแล้ว ยังมีทรัพยากรมหาศาล
เพราะในขณะนั้นรัสเซียได้ประกาศเลิกสงครามและทิ้งการรบด้านตะวันตกไป
จากการปฏิวัติรัสเซีย
21 มีนาคม 1918 เยอรมนีบุกครั้งใหญ่ในด้านตะวันตก
โดยหวังให้ กองทัพอังกฤษ และฝรั่งเศส แยกออกจากกัน
ก่อนที่กองกำลังสหรัฐจะมาสนับสนุน
โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อาเมียนส์อย่างหนัก
ทำให้กองทัพพันธมิตรไม่สามารถต้านทานได้
กองทัพเยอรมนีสามารถรุกเข้าไปได้เกือบที่จะถึงกรุงปารีส
ชัยชนะของเยอรมนีอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วเยอรมนีก็ต้องฝันสลาย
พร้อมกับการมาถึงของกองทัพสหรัฐ
ในยุทธภูมิอาเมียนส์
มีรถถังคอยทำลายแนวลวดหนาม พร้อมด้วยการสนับสนุนของทหารราบ
ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถกดดันให้กองทัพเยอรมนีต้องล่าถอย
จนกลับไปสู่แนวพรมแดนของตนเอง และแล้วความปราชัยของเยอรมนีก็มาถึง
4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 เยอรมนีได้ส่งคำร้องขอยุติสงครามไปยัง
วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น วูดโรว์ วิลสัน
ได้ยื่นเงื่อนไขในการยุติสงคราม 14 ข้อ
โดยไม่ได้ปรึกษากับฝ่ายพันธมิตร
1.ห้ามทำสนธิสัญญาลับระหว่างประเทศ
2.เสรีภาพทางท้องทะเลแม้ในยามสงคราม
3.การค้าเสรีระหว่างประเทศ
4.การลดอาวุธ
5.แก้ไขการอ้างสิทธิอาณานิคม
6.เยอรมนีต้องถอนตัวออกจากดินแดนของรัสเซีย
7.อิสรภาพของเบลเยี่ยม
8.ต้องคืนแคว้นอัลซัค
–
ลอร์เรนให้ฝรั่งเศส
9.ต้องปรับพรมแดนของอิตาลี
10.ให้โอกาสปกครองตนเอง
แก่จักรวรรดิออสเตรีย –
ฮังการี
11.ต้องฟื้นฟูรัฐบอลข่าน
และเซอร์เบียต้องมีทางออกทะเล
12.ประชากรที่ไม่ใช่ชาวเติร์กในจักรวรรดิตุรกีต้องเป็นอิสระ
13.สร้างโปแลนด์ขึ้นใหม่
14.ต้องจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ
หลักการ
14 ประการของ ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน
มุ่งหวังที่จะให้เกิดสันติภาพแก่โลก แต่น่าเสียดายที่สันติภาพโลกไม่สามารถลบล้างความแค้นของฝ่ายพันธมิตรได้
โดยถูกสนธิสัญญาแห่งความแค้น สนธิสัญญาที่เป็นชนวนของสงครามที่รุนแรงกว่า
เลวร้ายกว่า และสูญเสียมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1
นี้หลายเท่านั้น คือ “สงครามโลกครั้งที่ 2” สนธิสัญญาแห่งความแค้นนี้ชื่อว่า “สนธิสัญญาแวร์ซายส์”และในระหว่างที่เยอรมนี กำลังดำเนินการยุติสงคราม ประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ก็ได้แพ้สงครามดังนี้
30 กันยายน ค.ศ. 1918
บัลแกเรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม
31 ตุลาคม ค.ศ. 1918
ตุรกี ประกาศยอมแพ้สงคราม
3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ออสเตรีย ประกาศยอมแพ้สงคราม

จักรพรรดิ
ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ 2 ของเยอรมนี จักรพรรดิผู้นำโลกเข้าสู่สงคราม
ภายหลังจากเยอรมนีสงครามยุติ
พระองค์ทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศ เนเธอร์แลนด์
เหตุการณ์หลังจากสงครามสงบ
7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เยอรมนีรับเงื่อนไขการสงบศึก
9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 จักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่
2 ของเยอรมนี และมกุฎราชกุมารเสด็จไปประทับที่เนเธอร์แลนด์
11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สัญญาสงบศึกมีผลบังคับใช้
และแล้วสงครามที่ดำเนินมายาวนานถึง
4
ปี ก็สงบลง แต่ความแค้นในใจมนุษย์ไม่มีวันหมด โดยเยอรมนี
ได้ลงนามในสนธิสัญญา แวร์ซายส์ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1919
แต่สันติภาพไม่คงทน อีก 20 ปีต่อมา
ก็บังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
4.
ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 1
ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประเมินผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุโรป สรุปได้ดังนี้
4.1 ความหายนะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งทหารและพบเรือน รวมไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน ทรัพย์สินของแต่ละประเทศรับความเสียหายอย่างหนัก รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
4.2 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงความก้าวหน้าในการประดิษฐ์อาวุธร้ายแรงต่าง ๆ ของประเทศคู่สงคราม เช่น การนำรถถังมาใช้เป็นครั้งแรก การนำเครื่องบินรถติอาวุธมาทำสงครามกลางอากาศเป็นครั้งแรก และรวมทั้งการใช้ปืนกล ปืนใหญ่ และแก๊สพิษ เป็นต้น
4.3 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป สงครามโลก ครั้งที่ 1 มีผลทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปหลายจักรวรรดิต้องล่มสลาย เช่น จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี) เป็นต้น และทำให้เกิดประเทศใหม่ ๆ อีกหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย ฯลฯ
4.4 การเกิดองค์การสันนิบาตชาติ
(The League of Nations) ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพของโลกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งมิให้เกิดสงครามขึ้นอีก
4.5หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้
ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส
รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ
และต่อมาเมื่อสามารถขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ
จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922 เกิดการร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (The
Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี
และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี
- สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทำกับเยอรมนี เยอรมนีต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนหลายแห่ง ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ ในเยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์นำมาประณามเมื่อเริ่มมีอำนาจ
- สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
- สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
- สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
- สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกี ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโลซานน์
เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
- สนธิสัญญาแวร์ซายส์ทำกับเยอรมนี เยอรมนีต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและเสียดินแดนหลายแห่ง ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาสินค้าตกต่ำ ในเยอรมนีไม่สามารถใช้หนี้สงครามได้และมองสนธิสัญญานี้ว่าไม่เป็นธรรม จนฮิตเลอร์นำมาประณามเมื่อเริ่มมีอำนาจ
- สนธิสัญญาแซงต์ แยร์แมงทำกับออสเตรีย
- สนธิสัญญาเนยยี ทำกับบัลแกเรีย
- สนธิสัญญาตริอานองทำกับฮังการี
- สนธิสัญญาแซฟส์ทำกับตุรกี ต่อมาเกิดการปฏิวัติในตุรกีจึงมีการทำสนธิสัญญาใหม่เรียกว่าสนธิสัญญาโลซานน์
เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.school.obec.go.th/saod_rs/p007/p06.doc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น